Abstract:
ความสำคัญและที่มาของปัญหางานวิจัย การให้วิตามินดีเสริมพบว่าสามารถลดการสร้างไซโตไคน์ที่เกี่ยวเนื่องกับการอักเสบลงได้ อีกทั้งยังสามารถลดการเกิดพังผืดภายในเนื้อตับได้เช่นกัน ซึ่งมีหลักฐานการศึกษาจากหลายๆการศึกษาทั้งในห้องทดลองปฏิบัติการและในสัตว์ทดลองสนับสนุนข้อมูลดังกล่าวของวิตามินดี ซึ่งอธิบายผ่านการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ hepatic stellate cells (HSCs) ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการศึกษาใดที่ศึกษาเรื่องการให้วิตามินดีเสริมในในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังที่มีภาวะขาดวิตามินดี ว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระดับไซโตไคน์ที่เกี่ยวเนื่องกับการเพิ่มพังผืดในตับมาก่อน วัตถุประสงค์ เพื่อจะศึกษาถึงผลของการได้รับวิตามินดีเสริมในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีชนิดเรื้อรังที่มีภาวะขาดวิตามินดีต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับ TGF-β1 เมื่อรับประทานต่อเนื่อง 6 สัปดาห์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยวิธีการวัดระดับ TGF-β1 ในซีรัม ระเบียบวิธีการวิจัย ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีชนิดเรื้อรังที่มีภาวะขาดวิตามินดีจำนวนทั้งสิ้น 54 ราย ทำการแบ่งเป็นสองกลุ่มด้วยวิธีแบบสุ่ม กลุ่มแรกได้รับวิตามินดีเสริมจำนวน 27 รายตามแนวทางการให้วิตามินดีที่กำหนดไว้ กลุ่มที่สองได้รับยาหลอก 27 ราย ทำการวัดระดับ 25 (OH) vitamin D และ TGF-β1 ในเลือดที่เริ่มต้นก่อนการศึกษาและที่ 6 สัปดาห์ที่สิ้นสุดการศึกษา ผลการวิจัย ที่เริ่มต้นของการศึกษา ระดับ 25 (OH) vitamin D มีค่าใกล้เคียงกันทั้งสองกลุ่มและไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (19.5 ± 5.3 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร และ 18.2 ± 5.5 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร, p = 0.36 ตามลำดับ) เช่นเดียวกับระดับ TGF-β1 ที่พบว่าไม่มีความแตกต่างกันในทั้งสองกลุ่ม เมื่อประเมินที่ 6 สัปดาห์ของการศึกษาพบว่าในกลุ่มที่ได้รับวิตามินดีเสริมระดับ 25 (OH) vitamin D กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติคือเท่ากับ 45.6±13.2 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร แต่กลับไม่พบความเปลี่ยนแปลงของระดับ 25 (OH) vitamin D ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอกเท่ากับ 18.6±5.1 นาโนกรับต่อมิลลิลิตร ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ระดับความแตกต่างค่าเฉลี่ยก่อนและหลัง (mean difference) ของ TGF-β1 ในกลุ่มที่ได้รับวิตามินดีเสริมมีค่าที่ลดลงจากก่อนการรักษาเท่ากับ -29.1 ± 22.3 พิโคกรัมต่อมิลลิลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเท่ากับ 57.1±107.5 พิโคกรัมต่อมิลลิลิตร ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.012) สรุป การให้วิตามินดีเสริมในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังให้มีระดับ 25 (OH) vitamin D กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติอาจช่วยชะลอการเกิดพังผืดภายในตับได้ผ่านกลไกที่ทำให้เกิดความสมดุลของไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพังผืด ผลจากการศึกษานี้ช่วยสนับสนุนสมมติฐานและหลักฐานจากห้องทดลองปฏิบัติการและสัตว์ทดลองก่อนหน้านี้ว่าการให้วิตามินดีเสริมสามารถลดการสร้างพังผืดในตับลงได้