Abstract:
การกระทำความผิดเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มีบทบัญญัติเกี่ยวกับลักษณะการกระทำความผิดปรากฏตามมาตรา 9 และบทลงโทษตามมาตรา 108 หรือ 108 ทวิ ซึ่งมีกรณีการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำความผิดที่เป็นภัยร้ายแรงกระทบต่อสภาพสังคม การบริหารจัดการที่ดินของรัฐให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ตลอดจนกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย ในรูปแบบที่เป็นองค์กรอาชญากรรมหรืออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ผู้กระทำความผิดมุ่งกระทำความผิดโดยมีแรงจูงใจที่สำคัญคือผลประโยชน์จำนวนมหาศาลอันมีลักษณะการกระทำความผิดในเชิงการค้า จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยากที่จะดำเนินการกับผู้กระทำความผิด เนื่องจากบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มีบทลงโทษผู้กระทำความผิดไม่สูง ประกอบกับมาตรการในการดำเนินการกับทรัพย์สินในการกระทำความผิดยังไม่มีประสิทธิภาพในการสกัดกั้นเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ของผู้กระทำความผิดอันเป็นแรงจูงใจให้ผู้กระทำความผิดเลือกที่จะเสี่ยงกระทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวต่อบทกฎหมาย โดยทั้งนี้แม้บทบัญญัติตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมีมาตรการในการดำเนินการสกัดกั้นเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ของผู้กระทำความผิด แต่ก็ยังไม่มีการกำหนดให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินเป็นความผิดมูลฐานแต่อย่างใด ส่งผลให้มาตรการตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถตอบสนองการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมรูปแบบดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ศึกษาวิจัยเห็นว่าควรมีการนำมาตรการต่างๆตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาใช้บังคับ ซึ่งมีมาตรการดำเนินการกับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ที่ผู้กระทำความผิดได้รับเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดมูลฐาน ที่สำคัญ คือ มาตรการยึดอายัดทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม โดยในเบื้องต้นจำต้องกำหนดให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อันเป็นฐานในการนำมาตรการตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาใช้ต่อไป