Abstract:
พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 ได้มีการบัญญัติถึงหลักสุจริตของ ผู้ประกอบธุรกิจ โดยกำหนดถึงการใช้สิทธิและการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจนอกจากจะต้องกระทำโดยสุจริตแล้ว ยังต้องคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรมอีกด้วย ซึ่งเป็นการกำหนดหลักสุจริตของผู้ประกอบธุรกิจแยกต่างหากจากหลักสุจริตของบุคคลทั่วไป ตามมาตรา 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เนื่องจากเป็นการกำหนดระดับความสุจริตให้สูงกว่า โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรมด้วยจึงจะถือว่าสุจริตแล้ว จากการศึกษาพบว่า หลักสุจริตของผู้ประกอบธุรกิจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มีที่มาจากประมวลกฎหมายเอกรูปทางการพาณิชย์หรือ the Uniform Commercial Code ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ได้มีการบัญญัติถึงหลักสุจริตของพ่อค้าหรือผู้ประกอบธุรกิจแยกจากหลักสุจริตทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินคดีตามมาตรา 12 จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึง หลักสุจริตดังกล่าว เพื่อความชัดเจนในการปรับใช้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้นในการศึกษาถึงหลักสุจริตของผู้ประกอบธุรกิจบนฐานของ “มาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม” นั้น เนื่องจากมีสถานะเป็นหลักสุจริตจึงเป็นหลักกฎหมายทั่วไป และเป็น บทกฎหมายยุติธรรม จึงควรให้เป็นดุลพินิจของฝ่ายตุลาการในการพิจารณาพิพากษาคดีว่าแค่ไหนอย่างไรจึงจะถือว่าได้ปฏิบัติตาม “มาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม” แล้ว โดยไม่ต้องให้คำนิยาม เป็นการเฉพาะเจาะจง อันจะทำให้หลักสุจริตของผู้ประกอบธุรกิจมีความยืดหยุ่นสามารถปรับใช้เพื่ออำนวย ความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับข้อเท็จจริงในแต่ละกรณีในอนาคตได้ นอกจากนี้ควรที่จะให้ภาคธุรกิจแต่ละประเภท ร่วมกับภาครัฐ และตัวแทนของผู้บริโภคในการกำหนดแนวทางมาตรฐานทางการค้าของธุรกิจแต่ละประเภท โดยมาตรฐานดังกล่าว ไม่มีผลผูกพันศาลให้ต้องพิจารณาตัดสินคดีตาม แต่ศาลสามารถหยิบยกมาตรฐานของธุรกิจประเภทนั้นๆ ขึ้นมาประกอบการพิจารณาตัดสินคดี อันจะทำให้การปรับใช้มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มีความเป็นรูปธรรม ชัดเจน และสามารถปรับใช้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น