Abstract:
การศึกษาเกี่ยวกับการลดเจตคติรังเกียจกลุ่มในสังคมไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการมองจากมุมของผู้อื่นที่มีต่อเจตคติรังเกียจกลุ่มแบบแอบแฝงในบุคคลที่นิยามตัวตนแบบพึ่งพากันเมื่อเทียบกับแบบพึ่งพาตนเอง โดยมีการรวมตนเข้ากับผู้อื่นและการรวมผู้อื่นเข้ากับตนเป็นตัวแปรส่งผ่าน ในการทดลองครั้งนี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวน 157 คน ถูกสุ่มเข้าสู่เงื่อนไขการจัดกระทำการมองจากมุมของผู้อื่นหรือควบคุม และการกระตุ้นตัวตนแบบพึ่งพากันและกันหรือแบบพึ่งพาตนเอง จากนั้นทำแบบประเมินชาวพม่าทั่วไป แบบประเมินตนเอง และการทดสอบการเชื่อมโยงแบบแอบแฝงเพื่อวัดเจตคติรังเกียจชาวพม่าแบบแอบแฝง ผลการวิเคราะห์ พบว่า การมองจากมุมของผู้อื่นส่งผลให้เกิดเจตคติรังเกียจกลุ่มแบบแอบแฝงมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มที่นิยามตัวตนแบบพึ่งพากันและกันที่รายงานเจตคติรังเกียจกลุ่มแอบแฝงสูงกว่ากลุ่มที่นิยามตัวตนแบบพึ่งพาตนเอง ซึ่งตรงข้ามกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ นอกจากนี้การมองจากมุมของผู้อื่นอาจส่งผลให้เกิดการรวมตนเข้ากับผู้อื่นน้อยลงในบุคคลที่นิยามตนแบบพึ่งพากันและกัน โดยผลการวิจัยพบว่าบุคคลที่นิยามตัวตนแบบพึ่งพากันและกันประเมินชาวพม่าทั่วไปโดยใช้ความเชื่อเหมารวมทางลบมากกว่าบุคคลที่นิยามตัวตนแบบพึ่งพาตนเอง นอกจากนี้ การรวมตนเข้ากับผู้อื่นและการรวมผู้อื่นเข้ากับตนไม่ใช่ตัวแปรส่งผ่านอิทธิพลของการมองจากมุมของผู้อื่นไปยังเจตคติรังเกียจกลุ่มแบบแอบแฝง ผลการวิจัยครั้งนี้มีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจในการลดเจตคติรังเกียจกลุ่มในบริบทของสังคมไทยโดยการใช้เทคนิคการมองจากมุมของผู้อื่น