Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งประสงค์จะศึกษาแนวทางการแสวงหาและพิสูจน์พยานหลักฐานในคดีเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศออสเตรเลีย ประเทศสิงคโปร์ และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เพื่อนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับการแสวงหาและพิสูจน์พยานหลักฐานในคดีเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันยังเป็นปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จและประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและเพื่อกำหนดแนวทางการแสวงหาและพิสูจน์พยานหลักฐานในคดีเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมที่เหมาะสมกับประเทศไทย จากการศึกษาพบว่า การดำเนินการเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมมีเพียงการดำเนินการทางอาญาที่มีกระบวนการและมาตรฐานการพิสูจน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเหมือนคดีอาญา โดยทั่วไป ในขณะที่ คดีเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมมีความซับซ้อนและใช้เทคนิค ตลอดจนผู้กระทำความผิดมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการกระทำความผิดที่สามารถปกปิด ซ่อนเร้นการกระทำความผิด ประกอบกับพยานหลักฐานส่วนใหญ่อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดทำให้ยากต่อการแสวงหาพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีภาระงานซ้ำซ้อนและกระบวนการดำเนินการระหว่างหน่วยงานเป็นแบบส่งต่อเป็นทอด ๆ ทำให้ใช้ระยะเวลานาน ประกอบกับไม่มีมาตรการอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ศึกษาวิจัยจึงเห็นว่า ควรกำหนดการดำเนินการบังคับทางแพ่งมาใช้ควบคู่กับการดำเนินการทางอาญา ตลอดจนแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่และบทกำหนด ความรับผิดในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการดำเนินการแสวงหาพยานหลักฐานระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่กับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และนำมาตรการ Enforceable Undertaking และการต่อรองคำรับสารภาพมาบังคับใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแสวงหาและพิสูจน์พยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมาย เกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมมีประสิทธิภาพและความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น