Abstract:
วัตถุประสงค์-เพื่อศึกษาปัจจัยที่เสี่ยงที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หลังจากที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี อันได้แก่ ปัจจัยด้านผู้ป่วย (เพศ, กลุ่มอายุ, ภาวะทางโภชนาการ) ปัจจัยด้านไวรัส (ซีโรทัยป์ของไวรัสเดงกี, การติดเชื้อแบบปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ และการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยา (ปริมาณ D-Dimer) ซึ่งอาจนำไปสู่การพยากรณ์ความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสแดงกีได้ รูปแบบการวิจัย-การวิจัยเชิงวิเคราะห์ไปข้างหน้า สถานที่ศึกษา-หอผู้ป่วนแผนกกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ประชากร- ผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ที่รับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิกและผลทางห้องปฏิบัติการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสเดงกี ตั้งแต่ตุลาคม 2547 ถึง กันยายน 2549 วิธีการศึกษา-ผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาจะได้รับการซักประวัติข้อมูลพื้นฐาน ชั่งน้ำหนักและเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจหาระดับแอนติบอดี แยกซีโรทัยป์ ตรวจระดับโปรตีน D-Dimer และบันทึกการวินิจฉัยสุดท้ายโดยแบ่งตามความรุนแรงของโรคตาม HOO Cretiria 1997 ผลการศึกษา – ผู้ป่วน 98ราย ได้รับการวินิจฉัยว่าติเชื้อไวรัสเดงกี แบ่งเป็นเด็กหญิง 45 รายเป็นเด็กชาย 53 ราย อายุโดยเฉลี่ย 10.07 ปี มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไข้เดงกี 46 ราย (ร้อยละ 46.9) ไข้เลือดออก 52 ราย (ร้อยละ 53.1) พบว่าในวันที่รับผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้ป่วย ร้อยละ 78.6 ยังคงอยู่ในระยะไข้ ผลการตรวจเลือดผู้ป่วยแสดงให้เห็นว่า การเพิ่มขึ้นของโปรตีน D-Dimer สัมพันธ์กับการเกิดไข้เลือดออกรุนแรง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.001) สำหรับเพศและอายุนั้นไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับความรุนแรง พบผู้ป่วยที่มีภาวะทางโภชนาการดีจำนวนมากกว่าแต่ไม่สัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค ซีโรทัยป์ 2, 3 และการติดเชิ้อแบบทุติยภูมิมีสัดส่วนผู้ป่วยรุนแรงมากกว่า บทสรุป การเพิ่มขึ้นของโปรตีนดีไดเมอร์ในวันที่รับผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดไข้เลือดออกรุนแรงในผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี และอาจใช้เป็นตัวชี้วัดเพื่อพยากรณ์ความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัสเดงกีได้