Abstract:
วัตถุประสงค์-เพื่อประเมินศักยภาพของการใช้ค่า capillary lactate ในผู้ป่วยในการติดตามภาวะการไหลเวียนของเลือดในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเดงกี รูปแบบการวิจัย-การวิจัยเชิงพรรณาวิเคราะห์ไปข้างหน้า สถานที่ศึกษา-แผนกผู้ป่วยเด็กที่รพ.จุฬาลงกรณ์ กรุงเทพ และที่ รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ประชากร-ผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ที่มารับการรักษา ตั้งแต่ มิถุนายน 2549 ถึง พฤษภาคม 2550 วิธีการศึกษา-ผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษาได้รับการเก็บข้อมูลพื้นฐาน,หาค่า capillary Lactate ในระยะไข้, ระยะวิกฤต, 12 ชั่วโมงต่อมา และระยะพักฟื้น แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยที่ lactate ปกติ (<=2.2 mmol/L)กับผู้ป่วยที่ lactate ผิดปกติ (>2.2mmol/L) ผลการศึกษา-ผู้ป่วย 28 รายที่มีผลตรวจเลือดยืนยันการติดเชื้อไวรัสเดงกี มีอายุโดยเฉลี่ย 10.6±2.76 ปี เป็นเพศชายร้อยละ 57 พบว่าค่า capillary lactate ในช่วงเริ่มเข้าระยะวิกฤตมีค่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างผู้ป่วยที่เป็นไข้เดงกี (DF,2.2±0.62mmol/L,n=13),ไข้เลือดออก(DHF,2.6±0.61mmol/L,n=10) และไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก (DSS,3.2±0.58mmol/L,n=4) ผู้ป่วยที่ capillary lactate ในช่วงเริ่มเข้าระยะวิกฤตมีค่าปกติ (1.8±0.26 mmol/L,n=11) จะได้รับสารน้ำทางเส้นเลือดดำภายใน 12 ชั่วโมงต่อมาน้อยกว่า 650 ml/m2 of BSA และมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดน้อย (pleural effusion index <5%) ส่วนในผู้ป่วยที่ capillary lactate ที่เจาะในช่วงเริ่มเข้าระยะวิกฤตมีค่าผิดปกติ (3.0+0.46mmol/L,n=16) ได้ติดตาม capillary lactate 12 ชั่วโมงต่อมา พบว่ากลุ่มที่มีการลดลงของ capillary lactate ได้รับสารน้ำทางเส้นเลือดดำมากกว่า และมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดมากกว่ากลุ่มที่มีการเพิ่มขึ้นของ capillary lactate ในการศึกษานี้ไม่พบผู้ป่วยที่ capiilary lactate ในช่วงเริ่มเข้าระยะวิกฤตมีค่ามากกว่า 3.7 mmol/L บทสรุป-ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีที่มีค่า capillary lactate ในช่วงเริ่มเข้าระยะวิกฤตปกติ จะมีอาการรุนแรงน้อย และการติดตาม capillary lactate ต่อไปในกลุ่มที่มีค่าผิดปกติตั้งแต่แรก อาจมีประโยชน์ใช้เป็นแนวทางในการปรับสารน้ำที่ให้ทางเส้นเลือดดำแก่ผู้ป่วยได้