Abstract:
การใช้อินเตอร์เนตส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบ ในขณะที่ผลกระทบทางบวก เช่น ค่าใช้จ่ายที่ลดลง การได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและทันต่อการตัดสินใจ หรือความถูกต้องรวดเร็วของการทำธุรกรรมออนไลน์ ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย แต่ทว่าผลกระทบทางลบ เช่น การละเมิดสิทธิของข้อมูลส่วนบุคคล หรือการใช้อินเตอร์เนตจนถึงขั้นเสพติด ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบทางลบในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย งานวิจัยชิ้นนี้จึงมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ (1) รายงานภาวการณ์เสพติดอินเตอร์เนตของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรีของหลักสูตรปกติ ทั้งในภาพรวมและแยกตามสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และสาธารณสุขศาสตร์ และ (2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวการณ์เสพติดอินเตอร์เนตกับ (ก) สัมฤทธิผลทางการสื่อสาร และ (ข) ความวิตกจากการสื่อสาร ข้อมูลสำหรับตอบวัตถุประสงค์ได้จากการแจกแบบสอบถามให้กับนิสิตตัวอย่างจำนวน 280 คน ที่ได้มาจากการเลือกตัวอย่างแบ่งชั้นภูมิ (Stratified sampling) โดยที่ชั้นภูมิ คือ คณะหนึ่ง ๆ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบวัตถุประสงค์ข้างต้น ทำให้ทราบว่า (1) ประมาณร้อยละ 9 ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเสพติดอินเตอร์เนต โดยส่วนใหญ่เป็นนิสิตชั้นปีที่หนึ่งหรือสองที่สามารถใช้อินเตอร์เนตจากที่พักได้เกรดเฉลี่ย 3.04 และเล่นอินเตอร์เนตโดยเฉลี่ยวันละประมาณ 2.8 ชั่วโมง กิจกรรมบนอินเตอร์เนตที่ทำบ่อยที่สุด คือ การใช้ไปรษณียอิเลกทรอนิกส์ และการท่องเว็บ แต่มากกว่าร้อยละ 80 ไม่เคยซื้อสินค้าบนอินเตอร์เนต (2) การทดสอบสมมติฐานทางสถิติไม่สามารถยืนยันได้ว่าสาขาใดมีสัดส่วนนิสิตที่เสพติดอินเตอร์เนตสูงกว่าอีกสองสาขา และ (3) ถึงแม้การสำรวจวรรณกรรมทำให้คาดคะเนว่านิสิตที่เสพติดอินเตอร์เนตน่าจะมีสัมฤทธิผลทางการสื่อสารต่ำกว่าและน่าจะมีความวิตกกังวลทางการสื่อสารสูงกว่านิสิตที่ไม่เสพติดอินเตอร์เนต แต่การทดสอบสมมติฐานทางสถิติกับข้อมูลที่รวบรวมมาไม่สมารถยืนยันตามที่คาดคะเนได้ แต่ถึงกระนั้นข้อมูลจากตัวอย่างพอจะชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาวะการเสพติดอินเตอร์เนตกับสัมฤทธิผลทางการสื่อสาร และความวิตกทางการสื่อสารของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประโยชน์สำคัญของข้อค้นพบในงานวิจัยนี้ คือ การต่อยอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับผลกระทบทางลบของการใช้อินเตอร์เนตในบริบท (Context) ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกทั้งผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย อาจพิจารณาใช้ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อกำหนดนโยบายการใช้อินเตอร์เนตให้เหมาะสมยิ่งขึ้น