Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาหลักการแข่งขันเสรีในมิติกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจที่ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในขอบเขตที่รัฐเข้ามาเป็นผู้ประกอบการแข่งขันกับเอกชนในรูปของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งโดยหลักการทางกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจได้วางหลักการบังคับใช้หลักการแข่งขันเสรีในกรณีผู้ประกอบการภาครัฐกับผู้ประกอบการภาคเอกชนไว้ว่ารัฐจะไม่เข้าประกอบกิจการที่มีลักษณะแข่งขันกับประชาชน ยกเว้นมีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่การเข้าไปประกอบกิจการทางเศรษฐกิจดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งความเท่าเทียมและต้องไม่มีข้อกำหนดเอาเปรียบเอกชน จากการศึกษาพบว่าตั้งแต่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 จนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติรับรองหลักการแข่งขันเสรีไว้ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย โดยบัญญัติให้เป็นเสรีภาพในการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ไม่บัญญัติรับรองเสรีภาพในการแข่งขันโดยเสรีอย่างธรรมไว้อย่างชัดเจนอย่างในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน แต่หลักการแข่งขันเสรีก็ยังคงได้รับรองในระบบกฎหมายไทยในระดับพระราชบัญญัติ และการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติห้ามมิให้รัฐแข่งขันกับภาคเอกชน เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการจัดให้มีสาธารณูปโภค โดยมิได้บัญญัติต่อไปว่ารัฐต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขความเท่าเทียมและเสมอภาคกับผู้ประกอบการภาคเอกชนนั้น ทำให้เกิดประเด็นปัญหาในทางกฎหมายว่ารัฐวิสาหกิจซึ่งถือเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงทางเศรษฐกิจของรัฐต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวหรือไม่ ประกอบกับพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาตรา 4 (2) ที่ยกเว้นการบังคับใช้กับรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ โดยที่ไม่มีการแยกว่ารัฐวิสาหกิจนั้นจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายมหาชนหรือตามกฎหมายเอกชน ทำให้รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเอกชนได้รับสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าผู้ประกอบการภาคเอกชน อันเป็นการขัดต่อหลักการทางวิชาการ อย่างไรก็ตาม รัฐยังคงมีความจำเป็นที่ต้องเข้ามามีบทบาทในทางเศรษฐกิจ แต่กระนั้นการจัดทำบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจบางกิจกรรมก็เป็นกิจกรรมที่ทำกันในทางธุรกิจ ดังนั้น ในการพิจารณาว่ารัฐวิสาหกิจใดที่ควรอยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า นอกจากเกณฑ์ในเรื่องการจัดทำบริการสาธารณะหรือประโยชน์สาธารณะแล้ว ยังควรใช้เกณฑ์ความเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนและเอกชนเข้ามาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาด้วย