Abstract:
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การรองรับเรื่องผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลควรตระหนัก การออมจึงมีความจำเป็นเพื่อให้ประชากรได้มีเงินเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ แต่หากปล่อยให้มีการออมโดยแต่ละปัจเจกบุคคล อาจจะมีคนบางกลุ่มที่ไม่สามารถออมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องจัดทำกองทุนหรือเป็นคนกลางในการช่วยดูแล บริหารและจัดเก็บเงินสมทบจากสมาชิกเพื่อให้สมาชิกมีเงินไว้ใช้ยามเกษียณ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ก.บ.ท.) เป็นกองทุนที่จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ดังกล่าว ซึ่งเป็นกองทุนสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ตามการจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนกลับมาจากสัดส่วนของประมาณการรายรับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งประเทศเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มาจากการออมของสมาชิกกองทุน ดังนั้น สิ่งที่ควรให้ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ กองทุนจะมีความยั่งยืนหรือไม่ภายใต้การจัดเก็บอัตราเงินสมทบในลักษณะที่ไม่ได้อิงกับสมาชิกกองทุน การศึกษาในครั้งนี้ได้มีการศึกษาความยั่งยืนของ ก.บ.ท. ผ่านกรอบการศึกษาของ closed group unfunded obligation หรือ CGUO คือการศึกษาว่าสมาชิกของกองทุนในปีใดปีหนึ่ง เมื่อมีการเกษียณจนกระทั่งเสียชีวิต กองทุนจะสามารถจ่ายเงินให้ได้เพียงพอหรือไม่ โดยไม่นับรวมสมาชิกใหม่เข้ามาเพิ่ม เพื่อให้เห็นจุดสิ้นสุดของเวลา จากผลการศึกษาพบว่าภาพรวมของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่นยังไม่ยั่งยืน เนื่องจากไม่มีเงินสะสมเพียงพอที่จะจ่ายเงินให้กับทุกคนที่เป็นสมาชิกในปี พ.ศ.2557 นอกจากนี้ จากการแยกการวิเคราะห์ออกเป็นประเภทของท้องถิ่นพบว่ากองทุนที่มีปัญหาหนักสุดที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกองทุนในภาพรวมคือ กองทุน อบต. ในส่วนของกองทุน อบจ. และเทศบาลแม้ว่าจะไม่ยั่งยืนแต่ก็ไม่ใช่สัดส่วนที่สูงนักเมื่อเทียบกับภาพรวมหนี้ของกองทุนทั้งหมด ดังนั้นกองทุนของ อบจ.ควรปรับอัตราเงินสมทบที่ร้อยละ 1.24 กองทุนเทศบาลไม่ต้องปรับอัตราเงินสมทบ สามารถอยู่ที่ร้อยละ 2 เท่าเดิมได้ และกองทุน อบต.ควรปรับอัตราเงินสมทบอยู่ที่ 2.24 ซึ่งการปรับอัตราเงินสมทบดังกล่าวจะทำให้กองทุนเกิดความยั่งยืนภายใต้เงื่อนไขที่ว่ากองทุนจะต้องปรับปรุงนโยบายการบริหารจากที่มีผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว นำไปลงทุนในรูปแบบอื่นเพื่อให้เกิดรายได้มากขึ้น ซึ่งควรบริหารให้เกิดรายได้ในสัดส่วนร้อยละ 6 จากแต่เดิมที่มีรายได้จากการลงทุนเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น