Abstract:
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ได้สร้างมาตรการสำคัญในการติดตามเส้นทางการฟอกเงิน โดยผ่านกระบวนการ การรายงาน การบันทึกข้อเท็จจริง และการแสดงตน โดยได้กำหนดกับสถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง แก่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ผลการวิจัยพบว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 13 ได้บัญญัติให้ สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องรายงานการทำธุรกรรม ในบรรดาธุรกรรมที่ต้องรายงานทั้ง 3 ประเภท ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยเป็นธุรกรรมที่มีความยากลำบากในการวิเคราะห์มากที่สุด เนื่องจากผู้กระทำความผิดพยายามหาช่องทางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมดังกล่าวตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ดังนั้นรูปแบบของการฟอกเงินจากธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย จึงมีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่หยุดยั้ง การศึกษารูปแบบของการฟอกเงินจากธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยที่สถาบันการเงินรายงานมายังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พบว่า รูปแบบและลักษณะของการฟอกเงิน มักจะเกี่ยวข้องกับการฝากเงิน การโอนเงิน การถอนเงิน และการใช้เช็ค และยังพบว่า แนวโน้มรูปแบบของการฟอกเงินในประเทศไทยมีลักษณะดังนี้ 1. ผู้ฟอกเงินมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยเพิ่มมากขึ้น 2. ลักษณะของการเคลื่อนไหวทางบัญชีผิดปกติมากขึ้น 3. มีการทำธุรกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้น 4. มีการฟอกเงินโดยไม่ใช้เงินสดเกิดขึ้น 5. มีการฟอกเงินโดยอาศัยธุรกิจบังหน้ามากขึ้น 6. มีแนวโน้มของการฟอกเงินอาจกระทำในลักษณะอาชญากรรมข้ามชาติ และ 7. มีแนวโน้มการฟอกเงินในรูปแบบอื่น ๆ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้ วิเคราะห์รูปแบบของการฟอกเงิน และแนวโน้มรูปแบบของการฟอกเงินที่เกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินซึ่งอาจมีรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งอันจะนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป