Abstract:
กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลที่มีอำนาจในการบริหารจัดการบริษัทประกันภัย เป็นบุคคลที่มีความสำคัญในการดำเนินบริหารจัดการของบริษัท ซึ่งมีหน้าที่รับประกันภัยและบริหารจัดการเงินกองทุนที่ได้ระดมมาจากผู้เอาประกันภัย เพื่อรองรับความเสี่ยงภัยที่เกิดในอนาคตได้ แต่ถ้าหากกรรมการบริษัทได้กระทำการฉ้อฉลทุจริตในธุรกิจบริษัทประกันภัย ย่อมทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทประกันภัย และส่งผลกระทบโดยตรงถึงผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ หรือผู้ได้รับความเสียหายอันเนื่องจากสัญญาประกันภัย รวมถึงกระทบต่อภาคธุรกิจด้วย งานวิจัยนี้จึงมุ่งทาการศึกษาถึงความรับผิดทางแพ่งและการติดตามเงินหรือทรัพย์สินจากการฉ้อฉลในธุรกิจประกันภัยของกรรมการบริษัทประกันภัย รวมทั้งมาตรการในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ในประเด็นความรับผิดทางแพ่งของกรรมการบริษัท และการดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งของผู้ได้รับความเสียหาย จากการศึกษาพบว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดทางแพ่งของกรรมการบริษัทได้อย่างแท้จริง เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ผู้เสียหายมีสิทธิและหน้าที่ในการดำเนินการฟ้องร้องกรรมการบริษัทผู้กระทำความเสียหายตามมาตรา 1169 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในทางปฏิบัติพบว่าไม่มีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวทำให้กรรมการบริษัทหลุดพ้นจากความผิด ประกอบกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังไม่เป็นการเพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในธุรกิจประกันภัยที่เกิดผลกระทบในวงกว้าง และในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ยังไม่มีความชัดเจนในการกำหนดให้กรรมการบริษัทต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในเชิงลงโทษ (Punitive Damage) ด้วย ในประเด็นการดำเนินคดี การติดตามเงินหรือทรัพย์สินจากการกระทำการฉ้อฉลในธุรกิจประกันภัย ไม่มีกฎหมายใดกล่าวถึงไว้เป็นการเฉพาะ ทำให้ไม่สามารถติดตามเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกนำออกไปจากบริษัทประกันภัยได้ เป็นผลให้การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่สามารถให้การเยียวยาความเสียหายทางประกันภัยได้อย่างแท้จริง ดังนั้น หากได้มีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดทางแพ่งของกรรมการบริษัทประกันภัยอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการติดตามเงินหรือทรัพย์สินจากการกระทำการฉ้อฉลของกรรมการบริษัทประกันภัย ตลอดจนกำหนดคุณสมบัติของกรรมการบริษัทประกันภัยและมาตรการป้องกันการกระทำฉ้อฉลของกรรมการบริษัทประกับภัยให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับสภาพของการประกอบธุรกิจประกันภัยแล้ว ย่อมส่งผลให้ธุรกิจประกันภัยได้รับความเชื่อถือจากประชาชนและภาคธุรกิจด้วย