Abstract:
เมื่อนำสังหาริมทรัพย์มาเป็นหลักประกันภายใต้ พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 แล้ว บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวบางเรื่องยังไม่มีความชัดเจน บางเรื่องกฎหมายมิได้กำหนดไว้ จึงอาจก่อให้เกิดปัญหาในการปรับใช้และตีความเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหลักประกันได้ ทั้งปัญหาระหว่างผู้รับหลักประกันกับผู้ให้หลักประกัน และปัญหาระหว่างผู้รับหลักประกันและผู้ให้หลักประกันกับบุคคลภายนอก วิทยานิพนธ์เล่มนี้ได้ศึกษากฎหมายต่างประเทศเกี่ยวกับนำสังหาริมทรัพย์มาเป็นหลักประกันโดยไม่ส่งมอบการครอบครองแก่เจ้าหนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างประกอบการวิเคราะห์ ได้แก่ หลักกฎหมายของประเทศอังกฤษเน้นไปที่หลักประกันแบบลอย UCC Article 9 ของประเทศสหรัฐอเมริกา กฎหมายแม่แบบของ EBRD และแนวทางการร่างกฎหมายธุรกรรมหลักประกันของ UNCITRAL จากการศึกษาพบว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะทางกฎหมายของสิทธิของผู้รับหลักประกันมีฐานะเป็น “ทรัพยสิทธิประเภทประกันหนี้” เนื่องจากโดยเนื้อหาของสิทธิของผู้รับหลักประกันแล้ว เป็นสิทธิที่ติดตามไปกับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ส่วนปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์สินที่สิทธิของผู้รับหลักประกันครอบไปถึงโดยผลของกฎหมาย มีลักษณะคล้ายกับเรื่อง Proceeds ของกฎหมายต่างประเทศ แต่กฎหมายไทยยังมีปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตที่มาและปัญหากรณีทรัพย์สินที่เกิดขึ้นอยู่ในรูปของเงินตราและสิทธิที่มีตราสาร ส่วนกรณีผู้ให้หลักประกันนำหลักประกันไปรวมกับสังหาริมทรัพย์อื่นของตนเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ สิทธิของผู้รับหลักประกันไม่ครอบไปถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งแตกต่างกับแนวคิดของกฎหมายบางประเทศ ส่วนเรื่องข้อจำกัดสิทธิในการใช้สอยหรือจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินนั้น ข้อจำกัดสิทธิเป็นเพียงบุคคลสิทธิมีผลผูกพันคู่สัญญาหลักประกัน ส่วนเรื่องผู้รับโอนที่อาจได้รับสังหาริมทรัพย์ไปโดยปลอดจากภาระหลักประกันนั้น แต่ละประเทศจะใช้หลักเกณฑ์ที่มีลักษณะร่วมกัน โดยแบ่งเป็น 3 เงื่อนไข คือ ภายใต้การอนุญาตของผู้รับหลักประกัน ภายใต้ธุรกรรมในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของธุรกิจ และการคุ้มครองบุคคลภายนอกที่สุจริตและเสียค่าตอบแทน แต่สำหรับกฎหมายไทยยังมีปัญหาหลายส่วน ทั้งถ้อยคำของบทบัญญัติที่ไม่มีความชัดเจน และปัญหาเกี่ยวกับเกณฑ์ที่ใช้วัดความสุจริตของผู้รับโอน ส่วนเรื่องเกี่ยวกับผู้เช่าสังหาริมทรัพย์นั้น กฎหมายบางประเทศได้ให้ความคุ้มครองผู้เช่าสังหาริมทรัพย์ไว้ ส่วนกฎหมายไทยไม่ปรากฏบทบัญญัติดังกล่าว และสุดท้ายในเรื่องเกี่ยวกับการนำหลักประกันไปรวมกับสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่นจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ หากบุคคลภายนอกเป็นเจ้าของทรัพย์ประธาน สิทธิของผู้รับหลักประกันย่อมไม่ครอบไปถึงทรัพย์ที่เป็นส่วนควบ แต่ครอบไปถึงเงินที่บุคคลภายนอกจะต้องชดใช้เป็นค่าทรัพย์สินแก่ผู้ให้หลักประกัน ผู้เขียนได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่ เสนอให้มีการให้คำนิยามของทรัพย์สินที่สิทธิของผู้รับหลักประกันครอบไปถึงโดยผลของกฎหมาย เสนอให้ใช้วิธีการอื่นแทนการจดทะเบียนเงินตราและสิทธิที่มีตราสาร พร้อมแนวคิดในการกำหนดกลไกในการตรวจติดตามเงินตราที่สิทธิของผู้รับหลักประกันครอบไปถึง เสนอให้ปรับถ้อยคำของ พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มาตรา 32 ให้มีความชัดเจน เสนอให้สร้างเกณฑ์วัดความสุจริตผู้รับโอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน เสนอแนวคิดเพื่อคุ้มครองผู้เช่าสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน และสุดท้ายเสนอเกี่ยวกับการปรับใช้และตีความกฎหมายกรณีสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหลักประกันรวมกับสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่นจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ ซึ่งหากสามารถทำได้ตามข้อเสนอที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะทำให้การปรับใช้กฎหมายมีความแน่นอนชัดเจนเอื้อต่อการค้าการพาณิชย์ รวมทั้งทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายทั้งคู่สัญญาและบุคคลภายนอก