Abstract:
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะวิเคราะห์คุณสมบัติทางวากยสัมพันธ์ อรรถศาสตร์ และวัจนปฏิบัติของรูปปฏิเสธ ไม่ และ เปล่า ในภาษาไทย โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมจากคลังข้อมูลภาษาไทยแห่งชาติในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นวนิยาย สื่อทางอินเทอร์เน็ต และบทสนทนาในชีวิตประวันของผู้วิจัย แต่จะไม่นำรูปปฏิเสธ ไม่ และ เปล่า ที่ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของคำลงท้ายคำถาม เช่น หรือไม่ และ หรือเปล่า; และที่ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของวลีตายตัว เช่น ไม่เป็นไร และ หรือก็เปล่า มาศึกษาร่วมด้วย ผลการวิจัยพบว่า รูปปฏิเสธ ไม่ สามารถปรากฏในบริบททางวากยสัมพันธ์ที่หลากหลายกว่ารูปปฏิเสธ เปล่า กล่าวคือ ไม่ สามารถปรากฏได้ใน 5 กระสวน คือ 1) ปรากฏลำพังหรือมีคำลงท้าย 2) ปรากฏหน้ากริยาวลี 3) ปรากฏร่วมกับคำกริยาช่วย 4) ปรากฏหน้าวิเศษณ์วลี และ 5) ปรากฏภายในหน่วยสร้างกริยาเรียง ส่วนรูปปฏิเสธ เปล่า ปรากฏใน 2 กระสวน คือ 1) ปรากฏลำพังหรือมีคำลงท้าย และ 2) ปรากฏหน้ากริยาวลี โดย ไม่ และ เปล่า ในกระสวนแรกใช้ปฏิเสธถ้อยคำของผู้ร่วมสนทนาในผลัดก่อนหน้า ส่วน ไม่ และ เปล่า ในกระสวนอื่นใช้ปฏิเสธคำหรือวลีที่ตามมาในประโยค นอกจากนี้ยังพบว่า เปล่า มีข้อจำกัดในการปรากฏร่วมกับคำกริยา กล่าวคือ แม้ เปล่า จะสามารถปรากฏหน้าคำกริยาแสดงอาการ คำกริยาแสดงสภาพ และคำสัมพันธกริยา เป็น ได้เช่นเดียวกับ ไม่ แต่ เปล่า ไม่สามารถปรากฏหน้าคำกริยาคุณศัพท์ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของคำกริยาแสดงสภาพได้ เมื่อเปรียบเทียบความหมายในทางอรรถศาสตร์พบว่า ไม่ มีความหมายแสดงการปฏิเสธ สามารถใช้ปฏิเสธได้ทั้งคำถามหรือข้อสงสัย การบอกเล่า คำสั่ง คำขอร้อง และคำชวน ในขณะที่ เปล่า มีความหมายแสดงการปฏิเสธเพื่อหักล้างความคิด ความเชื่อ หรือมูลบทของผู้ร่วมสนทนาที่แฝงอยู่ในคำถามและการบอกเล่า ส่วนในทางวัจนปฏิบัตินั้น พบว่า ไม่ สามารถทำหน้าที่ได้หลากหลายกว่ารูปปฏิเสธ เปล่า กล่าวคือ ไม่ มีหน้าที่เด่นในทางวัจนปฏิบัติ 4 หน้าที่ ได้แก่ การปิดบังความจริง การชิงผลัด การตัดบท และการห้าม มีหน้าที่รอง 3 หน้าที่ ได้แก่ การแก้ไขสิ่งที่กล่าว การยืนยัน การไม่ยอมรับ ในขณะที่ เปล่า มีเพียงหน้าที่เด่นในทางวัจนปฏิบัติ 4 หน้าที่ ได้แก่ การปิดบังความจริง การตัดบท การแก้ตัว และการแสดงว่าสิ่งที่กำลังกล่าวถึงนั้นไม่มีความสำคัญ