Abstract:
การที่ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินมีผลกระทบต่อ ผู้บริโภคจำนวนมาก รัฐจึงตรากฎหมายมาควบคุมคือ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกิจการที่ต้องขอ อนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 (เรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ) และ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ ที่มิใช่สถาบันการเงินโดยอาศัยอำนาจตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 นอกจากนี้ธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติห้ามเรียก ดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และประกาศคณะกรรมการ ว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคของสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2544
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาว่าการบังคับใช้มาตรการทางอาญาต่อธุรกิจสินเชื่อส่วน บุคคลภายใต้การกำกับสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด จาก การศึกษาพบว่ามาตรการทางอาญาที่ใช้ควบคุมธุรกิจดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้จริง เนื่องจากผู้ประกอบ ธุรกิจยังคงใช้วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกอยู่ภายใต้การบังคับมาตรการทางอาญา โดยอาศัยความไม่ชัดเจนของ บทบัญญัติของกฎหมาย อีกทั้งความไม่เหมาะสมของอัตราโทษและบทบัญญัติของลักษณะการกระทำอัน เป็นความผิดตามประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ 58 ทำให้การบังคับใช้มาตรการทางอาญาไม่บรรลุ วัตถุประสงค์อย่างแท้จริง ดังนั้น เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการทางอาญาต่อธุรกิจดังกล่าวเกิดประสิทธิภาพ สมดังความมุ่งหมายในการบัญญัติกฎหมาย จึงควรบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินเป็นการเฉพาะ และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดเรียกดอกเบี้ย เกินอัตราไว้เป็นการเฉพาะและให้ผู้แทนนิติบุคคลร่วมรับผิดด้วย อีกทั้งควรปรับปรุงอัตราโทษให้มีความ เหมาะสมมากยิ่งขึ้น หรืออาจนำวิธีการเพื่อความปลอดภัยมาใช้ร่วมกับโทษก็ได้