Abstract:
สังคมกำลังประสบกับปัญหาอาชญากรรม ที่นับวันก็มีแต่จะเพิ่มพูนรูปแบบและวิธีการ ทำให้ยากต่อการป้องกันปราบปรามผู้กระทำผิด ซึ่งกฎหมายหลายฉบับถูกบัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมแก้ไขปัญหานี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ก็เป็นหนึ่งในกฎหมายที่ ถูกบัญญัติขึ้น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินถูกสร้างขึ้น พร้อมกับการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการฟอกเงิน เพื่อป้องปราบปัญหาอาชญากรรมในสังคม แต่การดำเนินงานจะสำเร็จลุล่วงไม่ได้ หากขาดบุคลากรผู้ขับเคลื่อนองค์กร นั่นคือ พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการตรวจสอบธุรกรรม และทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐานและการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ รวบรวมพยานหลักฐานเสนอต่อคณะกรรมการธุรกรรม จัดทำสำนวน ร่วมมือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งจับกุมผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงิน เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวมีโอกาสที่จะกระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคลเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงมีประเด็นปัญหาว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ได้มีการบัญญัติอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอบเขตการใช้อำนาจ การกำกับดูแล หรือควบคุมการใช้อำนาจอย่างเหมาะสมเพียงไร จากการศึกษาพบว่า บทบัญญัติมาตรา 22 ,38 ,38/1 ,46 และมาตรา 56 ในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ยังมีบางกรณีที่มีความไม่ชัดเจน มีขอบเขตการใช้อำนาจที่ไม่แน่ชัด โดยเฉพาะในกรณีอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ก่อนเลขาธิการมีคำสั่งมอบหมาย และ กรณีอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการทางอาญากับผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบทั้งในเรื่องการดำเนินงานที่ไม่สอดคล้องเป็นทิศทางเดียวกัน คือ ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลผู้เกี่ยวข้องในคดี ด้วยเหตุนี้ จึงควรมีการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดขอบเขตการใช้อำนาจที่ชัดเจน เพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ลดข้อขัดแย้งในการทำงาน และรักษาไว้ซึ่งสิทธิประโยชน์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดี