Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงประเด็นเมื่อประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยข้อตกลงเลือกศาล ค.ศ. 2005 กฎหมายในเรื่องนี้ของไทยก็จะชัดเจนและเหมือนกับของประเทศภาคีอื่นทำให้คู่สัญญาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถตัดสินใจเลือกให้สาลของประเทศไทยเป็นศาลที่ได้รับการเลือกในการตัดสินข้อพิพาทที่เกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นระหว่างตนได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าหากตนเองกำหนดในข้อตกลงให้ศาลไทยเป็นศาลที่ได้รับการเลือกแล้ว ศาลไทยจะปฏิบัติต่อข้อตกลงดังกล่าวอย่างไร รวมถึงการยอมรับและบังคับตามคำพิพากษาของศาลไทยในประเทศภาคีอื่นเป็นอย่างไรด้วย จึงนำอนุสัญญาดังกล่าวมาวิเคราะห์ว่ามีบทบัญญัติและเหตุผล รวมถึงวิธีการใช้บังคับอย่างไร ประกอบกับการพิจารณาว่าเมื่อประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวแล้ว ประเทศไทยต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างไร บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือ ประเทศไทยจำต้องออกกฎหมายหรือพระราชบัญญัติฉบับใหม่หรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่าหากประเทศไทยเข้าเป้นภาคีอนุสัญญาก็มีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติขึ้นมาหนึ่งฉบับเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีตามอนุสัญญา กล่าวคือ พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อตกลงเลือกศาลและการยอมรับและบังคับตามคำพิพากษาศาลต่างประเทศ เทียบเคียงพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ที่มีอนุสัญญากรุงนิวยอร์คเป็นต้นแบบ และแก้ไขมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539