Abstract:
การบังคับให้บุคคลหายสาบสูญนั้น เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงซึ่งอาจร่วมด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอีกหลายประการ เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิที่จะไม่ถูกกระทำทรมาน สิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของบุคคล และสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมาย ดังนั้น จึงมีความพยายามผลักดันให้ภาคส่วนต่างๆ ยอมรับในการให้ความคุ้มครองบุคคลจากการถูกบังคับให้หายสาบสูญ ซึ่งในที่สุดความพยายามนั้นได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยความสำเร็จในการจัดทำ “อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนให้พ้นจากการถูกบังคับให้หายสาบสูญ” ซึ่งได้ให้การรับรอง “สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้หายสาบสูญ” โดยถือเป็นสิทธิมนุษยชนอันมีลักษณะเฉพาะอีกรูปแบบหนึ่ง ที่นานาชาติและภาคประชาสังคมควรได้ให้ความเคารพอย่างเป็นสากลและในทุกสถานการณ์ โดยสาระสำคัญของอนุสัญญานี้ ถือว่าการบังคับให้บุคคลหายสาบสูญนั้นเป็นความผิดทางอาญาที่ร้ายแรง ซึ่งจะต้องมีการลงโทษต่อการกระทำความผิดนั้นอย่างเหมาะสม และผู้ที่ได้รับความเสียหายจะต้องได้รับการชดใช้เยียวยาอย่างยุติธรรม ทั้งนี้ รัฐภาคีของอนุสัญญาจะต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำในการให้ความคุ้มครองบุคคลจากการถูกบังคับให้หายสาบสูญ โดยควรได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภายในของตนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของอนุสัญญา ตลอดจนดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็น ทั้งในด้านการป้องกันและการเยียวยา เพื่อให้การคุ้มครองบุคคลจากการถูกบังคับให้หายสาบสูญเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้แล้ว อนุสัญญาฉบับนี้ยังได้กำหนดให้มีกลไกระหว่างประเทศเฉพาะด้านเพิ่มเติม เพื่อการตรวจตราให้เป็นไปตามตามพันธกรณีของอนุสัญญาฉบับนี้ด้วย ผลจากการศึกษาพบว่า การเข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญาฉบับนี้ จะช่วยยกระดับการส่งเสริมและให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรได้ดำเนินการภาคยานุวัติเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญาฉบับนี้ และคงต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายภายในของประเทศไทย รวมถึงปรับปรุงมาตรการและกลไกภายในประเทศที่มีอยู่ เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามพันธกรณีของอนุสัญญาอย่างเหมาะสม