Abstract:
แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมีกฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานที่รับไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2547 แต่กฎกระทรวงดังกล่าวก็ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง เนื่องจากมีปัญหาหลายประการ เช่น ผู้ว่าจ้างหลีกเลี่ยงโดยทำเป็นสัญญารับจ้างทำของแทน ผู้ว่าจ้างหรือผู้รับงานไปทำที่บ้านต่างไม่ทราบว่ามีกฎกระทรวงซึ่งได้ประกาศใช้แล้ว ผู้รับงานไปทำที่บ้านไม่มีอำนาจต่อรองกับผู้ว่าจ้าง นอกจากนี้ ผู้รับงานไปทำที่บ้านยังไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานตามกฎหมายอย่างเพียงพอ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ไม่มีบทบัญญัติเพื่อป้องกันการประสบอันตรายของผู้รับงานไปทำที่บ้าน ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในการป้องกันตนเองของผู้รับงานไปทำที่บ้าน ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตราดูแล ไม่มีการกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัย ไม่มีการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในการทำงาน จึงเป็นผลให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านไม่ได้รับการคุ้มครองด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและ สภาพแวดล้อมในการทำงานมากเพียงพอ ผู้เขียนจึงได้ศึกษาวิจัยถึงสภาพปัญหาความไม่ปลอดภัยในการทำงานของผู้รับงานไปทำที่บ้าน ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้รับงานไปทำที่บ้านยังมีปัญหาด้านความไม่ปลอดภัย อาชีวอนามัยที่ไม่ดี และมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งยังได้รับอันตรายจากการทำงานหลายประการ เช่น โรคที่เกิดจากการทำงาน เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ทำงานไม่ได้มาตรฐาน มีความเสี่ยงจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน และเมื่อพิจารณาจากอนุสัญญาฉบับที่ 155 อนุสัญญาฉบับที่ 177 อนุสัญญาฉบับที่ 187 และอนุสัญญาอีกหลายฉบับขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมีกฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานที่รับไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2547 แต่กฎกระทรวงดังกล่าวก็ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง เนื่องจากมีปัญหาหลายประการ เช่น ผู้ว่าจ้างหลีกเลี่ยงโดยทำเป็นสัญญารับจ้างทำของแทน ผู้ว่าจ้างหรือผู้รับงานไปทำที่บ้านต่างไม่ทราบว่ามีกฎกระทรวงซึ่งได้ประกาศใช้แล้ว ผู้รับงานไปทำที่บ้านไม่มีอำนาจต่อรองกับผู้ว่าจ้าง นอกจากนี้ ผู้รับงานไปทำที่บ้านยังไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานตามกฎหมายอย่างเพียงพอ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ไม่มีบทบัญญัติเพื่อป้องกันการประสบอันตรายของผู้รับงานไปทำที่บ้าน ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในการป้องกันตนเองของผู้รับงานไปทำที่บ้าน ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตราดูแล ไม่มีการกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัย ไม่มีการคุ้มครองสภาพแวดล้อมในการทำงาน จึงเป็นผลให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านไม่ได้รับการคุ้มครองด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและ สภาพแวดล้อมในการทำงานมากเพียงพอ ผู้เขียนจึงได้ศึกษาวิจัยถึงสภาพปัญหาความไม่ปลอดภัยในการทำงานของผู้รับงานไปทำที่บ้าน ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้รับงานไปทำที่บ้านยังมีปัญหาด้านความไม่ปลอดภัย อาชีวอนามัยที่ไม่ดี และมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งยังได้รับอันตรายจากการทำงานหลายประการ เช่น โรคที่เกิดจากการทำงาน เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ทำงานไม่ได้มาตรฐาน มีความเสี่ยงจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน และเมื่อพิจารณาจากอนุสัญญาฉบับที่ 155 อนุสัญญาฉบับที่ 177 อนุสัญญาฉบับที่ 187 และอนุสัญญาอีกหลายฉบับขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประกอบกับกฎหมายคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้านของประเทศอังกฤษ ประเทศญี่ปุ่น และประเทศเวียดนามแล้ว พบว่า บทบัญญัติดังกล่าวได้คุ้มครอง ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานของผู้รับงานไปทำที่บ้านไว้อย่างชัดเจนและครอบคลุม เช่น ให้ผู้ว่าจ้างและผู้รับงานไปทำที่บ้านมีหน้าที่ในการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงาน สิทธิของผู้รับงานไปทำที่บ้านในการป้องกันตนเอง ให้มีความปลอดภัยในการทำงาน อำนาจตรวจตราสถานที่ทำงานที่รับไปทำที่บ้านของพนักงานตรวจแรงงาน และบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้เขียนเห็นว่าเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน ในเรื่องความปลอดภัย อาชีวอนามัยและ สภาพแวดล้อมในการทำงาน จึงควรมีการบัญญัติกฎหมายคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้านไว้โดยเฉพาะ ตามลักษณะและ สภาพการทำงานของผู้รับงานไปทำที่บ้านที่มีลักษณะแตกต่างจากลูกจ้างทั่วไป เพื่อให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยมากที่สุด