Abstract:
ที่มา : การลดแรงดันบวกในระยะสิ้นสุดการหายใจออกในผู้ป่วยกลุ่มทางเดินหายใจลำบากเฉียบพลันในระยะฟื้นตัวอาจทำให้เกิดถุงลมปอดแฟบและออกซิเจนในเลือดต่ำ ปัจจุบันยังไม่มีพารามิเตอร์ใดที่สามารถทำนายการเกิดถุงลมปอดแฟบหรือโอกาสสำเร็จในการลดแรงดันบวกในระยะสิ้นสุดการหายใจออกได้ วิธีการศึกษา : ผู้ป่วยกลุ่มทางเดินหายใจลำบากเฉียบพลันที่ได้รับการวินิจฉัยว่าอยู่ในระยะฟื้นตัว จำนวน 22 คน ได้เข้าสู่การศึกษา เก็บข้อมูลได้ 30 หัตถการ ผู้ป่วยได้รับการสุ่มให้อยู่ในกลุ่มโพรโทคอลที่ใช้การเปลี่ยนแปลงของปริมาตรปอดเป็นแนวทางในการปรับลดแรงดันบวกในระยะสิ้นสุดการหายใจออก 15 หัตถการ หรือกลุ่มที่ใช้การตัดสินใจโดยแพทย์ 15 หัตถการ เปรียบเทียบอัตราการเกิดถุงลมปอดแฟบระหว่างสองกลุ่ม ผลการศึกษา : กลุ่มโพรโทคอลพบอัตราการเกิดถุงลมปอดแฟบ 7.1% เทียบกับกลุ่มที่ใช้การตัดสินใจโดยแพทย์ 60% แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.005) การใช้โพรโทคอลสามารถลดการเกิดถุงลมปอดแฟบได้ 88.16% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้การใช้การตัดสินใจโดยแพทย์ ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีการลดลงของปริมาตรปอดภายหลังการลดแรงดันบวกในระยะสิ้นสุดการหายใจออกมากกว่า 10% มีอัตราการเกิดถุงลมปอดแฟบสูงถึง 87.5% มากกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีการลดลงของปริมาตรปอดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10% ที่มีอัตราการเกิดถุงลมปอดแฟบ 20% (p=0.006) ระยะเวลาที่ผู้ป่วยสามารถหายใจเองได้หลังจากเริ่มการศึกษามีค่ากลางอยู่ที่ 3 วัน ไม่แตกต่างกันระหว่างสองกลุ่ม สรุป : โพรโทคอลการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรปอดสามารถลดอัตราการเกิดถุงลมปอดแฟบภายหลังการลดแรงดันบวกในระยะสิ้นสุดการหายใจออก โดยไม่ทำให้ระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะสามารถหายใจเองได้นานขึ้น