Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิต ประสบการณ์การมีอาการ และกลวิธีการจัดการกับอาการของผู้ป่วยที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะที่ได้รับการใส่สายระบายปัสสาวะที่กรวยไตผ่านผิวหนัง และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์การมีอาการ แรงสนับสนุนทางสังคม และระดับความรุนแรงของผิวหนังถูกทำลายรอบสายระบายปัสสาวะ กับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะที่ได้รับการใส่สายระบายปัสสาวะที่กรวยไตผ่านผิวหนัง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 95 คน ได้รับการคัดเลือกโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะจากการลุกลามของมะเร็งในอุ้งเชิงกรานและได้รับการใส่สายระบายปัสสาวะที่กรวยไตผ่านผิวหนังตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป กลับมารับการติดตามอาการและเปลี่ยนสายระบายปัสสาวะที่กรวยไตผ่านผิวหนัง ที่โรงพยาบาลตติยภูมิ กรุงเทพมหานคร เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล คุณภาพชีวิต ประสบการณ์การมีอาการและกลวิธีการจัดการกับอาการ แรงสนับสนุนทางสังคม และแบบสังเกตระดับความรุนแรงของผิวหนังถูกทำลาย คุณภาพของเครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน และเครื่องมือส่วนที่ 2-4 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .91, .91 และ .93 ตามลำดับ เครื่องมือชุดที่ 5 ผ่านการตรวจสอบความเท่าเทียมกันของแบบสังเกต ได้ค่าความที่ยงเท่ากับ .90 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงบรรยาย สถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน และสถิติสหสัมพันธ์สเปียร์แมน
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. คุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะที่ได้รับการใส่สายระบายปัสสาวะที่กรวยไตผ่านผิวหนังอยู่ในระดับปานกลาง (Mean= 66.34, SD=14.55)
2. ประสบการณ์การมีอาการมีความสัมพันธ์ทางลบ (r= -.54, p<.05) แรงสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวก (r= .27, p<.05) และระดับความรุนแรงของผิวหนังถูกทำลายมีความสัมพันธ์ทางลบ (r= -.35, p<.05) กับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะที่ได้รับการใส่สายระบายปัสสาวะที่กรวยไตผ่านผิวหนัง
3. ประสบการณ์การมีอาการของผู้ป่วยที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินปัสสาวะที่ได้รับการใส่สายระบายปัสสาวะที่กรวยไตผ่านผิวหนังจำนวน 95 คน ที่พบมากในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา 5 อันดับแรก คือ ร้อยละ 50.5 มีอาการคันผิวหนังบริเวณที่ปิดพลาสเตอร์รอบสายระบาย รองลงมา คือ ร้อยละ 43.2 มีอาการท้องผูก ร้อยละ 36.8 มีอาการนอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก ร้อยละ 36.8 รู้สึกเบื่ออาหาร และร้อยละ 33.7 มีอาการวิตกกังวล
4. กลวิธีการจัดการกับอาการ 5 อันดับแรกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับอาการเหล่านั้น คือ เช็ดผิวหนังรอบสายระบายด้วยแอลกอฮอล์เมื่อมีอาการคันผิวหนังบริเวณที่ปิด พลาสเตอร์รอบสายระบาย รับประทานยาระบายเมื่อมีอาการท้องผูก รับประทานยานอนหลับเมื่อมีอาการนอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก เปลี่ยนประเภทอาหารเมื่อรู้สึกเบื่ออาหาร และ การเล่าให้ผู้อื่นฟังเมื่อวิตกกังวล