dc.contributor.advisor |
วุฒิพงษ์ ศิริจันทรานนท์ |
|
dc.contributor.author |
เกรียงไกร โภคานุกรม |
|
dc.contributor.other |
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์ |
|
dc.date.accessioned |
2018-11-16T07:32:53Z |
|
dc.date.available |
2018-11-16T07:32:53Z |
|
dc.date.issued |
2560 |
|
dc.identifier.uri |
http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/60578 |
|
dc.description |
เอกัตศึกษา (ศศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560 |
en_US |
dc.description.abstract |
เอกัตศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหามาตรการการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล
ในประเทศไทย ด้วยวิธีการศึกษาและวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษารวบรวมเอกสารทั้งแบบปฐมภูมิ
และทุติยภูมิ เกี่ยวกับต้นกำเนิดและความเป็นมาของเงินดิจิทัล ลักษณะธุรกรรมการใช้สกุลเงินดิจิทัล
ต่าง ๆ มาตรการในการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัลทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมทั้ง
ปัญหา ข้อจำกัดต่าง ๆ แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้ศึกษารวบรวมมาวิเคราะห์และสังเคราะห์โดย
การเปรียบเทียบระหว่างมาตรการการจัดเก็บภาษีในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อหาแนวทางใน
การกำหนดมาตรการทางภาษีที่ชัดเจนและสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการศึกษาพบว่า นวัตกรรมทางการเงินได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้หลายประเทศ
เกิดการตื่นตัวในวงกว้างต่อการกำหนดมาตรการทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัล ด้วยรูปแบบและ
ลักษณะเฉพาะตัวของเงินดิจิทัลทำให้กระบวนการทำธุรกรรมที่ใช้เงินดิจิทัลมีความแตกต่างไป
จากการทำธุรกรรมในอดีต การทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะเป็นการทำธุรกรรมระหว่างผู้ใช้งานด้วยกันหรือ
ที่เรียกว่า peer to peer จึงเป็นแบบอิสระโดยที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางทางการเงิน และยังทำให้
ผู้ใช้งานได้รับรางวัลจากการตรวจสอบและยืนยันรายการเป็นเงินดิจิทัลอีกด้วย
โดยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้พระราชกำหนด
การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นกฎหมายในการกำกับดูแล
และควบคุมการประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีสาระสำคัญ คือการกำหนดนิยาม
ของคำว่าสินทรัพย์ดิจิทัล คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล รวมถึงมีการกำหนดส่วนเพิ่มประเภท
ย่อยของเงินได้พึงประเมินมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากรและกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษี
ในอัตราร้อยละ 15 โดยวิธีการหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (2) แห่งประมวลรัษฎากร และต้อง
นำไปรวมคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
จากผลการศึกษาจากการศึกษาเปรียบเทียบมาตรการการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับเงิน
ดิจิทัลของประเทศญี่ปุ่นและประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าทั้งสองประเทศมีมุมมองต่อเงินดิจิทัล
ที่คล้ายกัน กล่าวคือ การตีความว่าเงินดิจิทัลเป็นประเภทหนึ่งของสินทรัพย์ มิใช่เงินตราและมี
การจัดเก็บภาษีจากมูลค่าส่วนเกิน (Capital gain) โดยมีความแตกต่างในสาระสำคัญ 3 ประการ คือ
(1) ฐานภาษีในส่วนของหลักการการคิดต้นทุนของเงินดิจิทัล (2) การใช้ประโยชน์จากการหักกลบ
ระหว่างกำไรและขาดทุน (3) ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ผู้เขียนได้เสนอแนะให้มีการมีการออกระเบียบหรือ
มาตรการรวมถึงแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ใน การจัดเก็บ ภาษีที่เกี่ยวข้องกับ เงิน ดิจิทัล
โดยควรจะพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียของการทำแนวทางต่าง ๆ มาปรับใช้ การลงทุนในระบบ
การจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้ได้รับมาซึ่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสูงในการจัดเก็บภาษี ตลอดจน
แนวทางปฏิบัติในเรื่องของภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศต่อไป |
en_US |
dc.language.iso |
th |
en_US |
dc.publisher |
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
en_US |
dc.relation.uri |
http://doi.org/10.58837/CHULA.IS.2017.5 |
|
dc.rights |
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
en_US |
dc.subject |
การจัดเก็บภาษี--การเงิน |
en_US |
dc.subject |
สินทรัพย์ดิจิทัล |
en_US |
dc.title |
มาตรการการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) |
en_US |
dc.type |
Independent Study |
en_US |
dc.degree.name |
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต |
en_US |
dc.degree.level |
ปริญญาโท |
en_US |
dc.degree.discipline |
กฎหมายเศรษฐกิจ |
en_US |
dc.degree.grantor |
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
en_US |
dc.email.advisor |
ไม่มีข้อมูล |
|
dc.subject.keyword |
ธุรกรรมการเงิน |
en_US |
dc.subject.keyword |
เงินดิจิทัล |
en_US |
dc.identifier.DOI |
10.58837/CHULA.IS.2017.5 |
|