Abstract:
จากการศึกษากฎหมายภาษีอากรของประเทศไทยเกี่ยวกับการหักรายจ่ายเงินสำรองของบริษัท
ประกันชีวิต พบว่าปัจจุบันสามารถหักรายจ่ายเงินสำรองเบี้ยประกันภัยเพื่อสมทบทุนประกันชีวิตที่กัน
ไว้ก่อนคำนวณกำไร ในอัตราไม่เกินร้อยละ 65 ของจำนวนเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ และเงินสำรองเบี้ย
ประกันภัยเพื่อสมทบทุนประกันภัยอื่นที่กันไว้ก่อนคำนวณกำไร ในอัตราไม่เกินร้อยละ 40 ของจำนวน
เบี้ยประกันภัยรับสุทธิ ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งอัตราร้อยละต่อเบี้ย
ประกันภัยรับสุทธิดังกล่าว ยังไม่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่แท้จริง ทาให้การนำส่งรายได้เข้ารัฐยังไม่มี
ความเหมาะสมและเป็นธรรม และยังไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์สากล ที่เงินสำรองดังกล่าวจะได้จาก
การคำนวณโดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ได้รับการรองรับจากสานักงานคณะกรรมการกำกับและ
ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือที่เรียกว่าหลักทางคณิตศาสตร์ประกันภัย
สภาพปัญหาที่พบมาจากการที่เงินสำรองเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันชีวิตในปัจจุบัน มีการ
ประเมินมูลค่าที่สูงขึ้น จากปัจจัยในด้านต่างๆ เช่น แบบประกันชีวิตที่มีจานวนเงินเอาประกันภัยสูง มี
ผลประโยชน์สูง เป็นต้น เมื่อศึกษาถึงเงินสำรองเปรียบเทียบกับเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ เพื่อหาสัดส่วน
เงินสำรองต่อเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ พบว่ามีสัดส่วนในอัตราที่สูงกว่าอัตราร้อยละที่สรรพากรอนุญาต
ให้หักรายจ่ายทางภาษีอากรค่อนข้างมาก ซึ่งการประเมินมูลค่าเงินสำรองเบี้ยประกันภัยในปัจจุบัน
ประเมินมูลค่าด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งการมีเงินสำรองเบี้ยประกันภัยเป็นรายจ่ายตาม
ความเป็นจริงสูงกว่าอัตราที่สรรพากรอนุญาตให้หักรายจ่ายได้ ส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัท
ประกันชีวิต ในการชำระภาษีเพิ่มเติมในส่วนของเงินสำรองที่เกินจากหลักเกณฑ์ในประมวลรัษฎากร
ทาให้บริษัทต้องแบกรับภาระภาษีที่เกินสมควร นอกจากนี้ ส่งผลต่อต้นทุนในการออกและพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตบางประเภทสู่ตลาดเพื่อการแข่งขัน เช่น ประกันชีวิตแบบเงินออมระยะสั้น เป็น
ต้น ทำให้ประชาชนผู้ลงทุนในการทำประกันชีวิตมีทางเลือกในการลงทุนลดลง ไม่เกิดการกระตุ้นตลาด
การประกันชีวิต ทำให้แข่งขันกับธุรกิจอื่นๆ ได้ยาก นอกจากนี้ ทำให้บริษัทมีเม็ดเงินลงทุนลดลง ซึ่ง
ด้วยลักษณะของธุรกิจประกันชีวิต เป็นบริษัทที่มีการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในหุ้นทุน เพื่อให้
ได้รับผลตอบแทนตามเป้าหมายและสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้เสนอขายไป และสามารถ
จ่ายผลประโยชน์ต่างๆ คืนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันชีวิตได้
จากการที่แนวโน้มของสัดส่วนของเงินสำรองเบี้ยประกันภัยต่อเบี้ยประกันภัยรับสุทธิค่อนข้างสูง
จึงได้มีการศึกษาแนวทางการนำหลักทางคณิตศาสตร์ประกันภัยมาใช้ในการคำนวณเงินสำรองเพื่อหัก
รายจ่ายในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่ใช้ในการบันทึกบัญชีของบริษัท
ประกันชีวิต ทาให้บริษัทไม่ต้องรับภาระภาษีที่เกินสมควร จากรายจ่ายส่วนเกินที่ไม่สามารถหักได้ตาม
ความเป็นจริง ทำให้การนำส่งรายได้เข้าสู่ภาครัฐมีความเหมาะสมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วย
หลักคณิตศาสตร์ประกันภัยสามารถนำมาซึ่งมูลค่าที่ใกล้เคียงกับความเสี่ยงที่แท้จริง และสามารถ
แก้ปัญหาในหลายๆ ด้าน ที่กระทบต่อธุรกิจประกันชีวิต นอกจากนี้ เมื่อมีการศึกษากฎหมายภาษี
อากรของต่างประเทศ คือประเทศออสเตรเลียและประเทศสิงคโปร์ พบว่ามีการระบุหลักเกณฑ์การ
ประเมินมูลค่าไว้อย่างชัดเจน โดยมีการนำหลักทางคณิตศาสตร์ประกันภัยมาใช้ในการประเมินมูลค่า
หนี้สินตามกรมธรรม์ประกันภัย โดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่มาประเมินมูลค่า ต้องได้รับการรองรับ
จากหน่วยงานกำกับดูแล ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถใช้เงินสำรองเบี้ยประกันภัยจากหลักทาง
คณิตศาสตร์ประกันภัยมาเป็นรายจ่ายทางภาษีอากรได้เหมือนในต่างประเทศ จะสามารถลดความ
เสี่ยงที่บริษัทได้รับ ลดข้อจำกัดในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทาให้ประชาชนมีทางเลือกในการออมและ
การลงทุนในการประกันชีวิตหลายรูปแบบ เป็นการกระตุ้นการออมการลงทุน และทำให้บริษัทนำเม็ด
เงินจากการที่ไม่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมมาลงทุนตามเป้าหมายของบริษัทที่ต้องนำเงินมาจ่าย
ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้เอาประกันภัยตามสัญญา ซึ่งการลงทุนที่มีปริมาณค่อนข้างมากของบริษัท
ประกันชีวิตนั้น ทำให้ตลาดการลงทุนในประเทศไทยเจริญเติบโตมากขึ้น
จากหลักเกณฑ์การหักรายจ่ายเงินสำรองเบี้ยประกันภัยจากอัตราร้อยละต่อเบี้ยประกันภัยรับ
สุทธินั้น เป็นอัตราที่ใช้มาเป็นเวลานานแล้ว และไม่เพียงพอกับสภาวะในปัจจุบัน ดังนั้น หากให้บริษัท
ประกันชีวิตสามารถใช้มูลค่าเงินสำรองที่มาจากหลักทางคณิตศาสตร์ประกันภัยเป็นรายจ่ายทางภาษี
อากรได้ ซึ่งเป็นมูลค่าแบบเดียวกับที่รายงานทางบัญชี หรือรายงานการดำรงเงินกองทุนตามระดับ
ความเสี่ยงที่ส่งต่อ สานักงาน คปภ. ทาให้มูลค่าหนี้สินเงินสารองและเงินสารองเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เป็น
รายจ่ายของบริษัทมีความเหมาะสม เป็นธรรม และมีความเสมอภาคมากกว่าการใช้มูลค่าร้อยละต่อ
เบี้ยประกันภัยรับสุทธิ โดยการนำหลักทางคณิตศาสตร์ประกันภัยมาใช้ ต้องคำนึงถึงหลักการที่ถูกต้อง
และต้องมาจากนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ได้รับการรองรับและตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล