Abstract:
ที่มาของการศึกษา การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดไม่ใส่ท่อช่วยหายใจหลังการถอดท่อช่วยหายใจนั้นปัจจุบันแนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยมราจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อนำไปใช้ในผู้ป่วยทุกรายนั้นกลับพบว่าไม่ได้ประโยชน์ทั้งหมด การศึกษาในผู้ป่วยหลังการถอดท่อช่วยหายใจก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องช่วยหายใจชนิดไม่ใส่ท่อช่วยหายใจที่กำหนดแรงดันของเครื่องคงที่ การใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดไม่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบกำหนดปริมาตรอากาศน่าจะมีประโยชน์ในผู้ป่วยลักษณะดังกล่าวมากกว่า
วิธีการศึกษา การวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่มในผู้ป่วยวิกฤติอายุรกรรมที่ใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจนานกว่า 48 ชั่วโมง โดยผู้ป่วยจะถูกสุ่มเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับเครื่องช่วยหายใจชนิดไม่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบกำหนดปริมาตรอากาศและกลุ่มที่ได้รับออกซิเจนผ่านทางหน้ากากออกซิเจนภายหลังการถอดท่อช่วยหายใจเป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยมีอัตราการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำที่ระยะเวลา 48 ชั่วโมงเป็นผลการศึกษาหลัก และการเกิดภาวะหายใจล้มเหลว อุบัติการณ์การเกิดภาวะปอดอักเสบ ระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลและหอผู้ป่วยวิกฤติ รวมถึงอัตราการเสียชีวิตที่ 28 วันหลังการถอดท่อช่วยหายใจเป็นผลการศึกษารอง
ผลการศึกษา การศึกษานี้มีผู้ป่วยเข้าร่วมทั้งสิ้น 58 ราย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 29 ราย ทั้งสองกลุ่มมีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน โดยไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ สาเหตุของการใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจที่พบบ่อยที่สุดคือภาวะปอดอักเสบ(ร้อยละ 57.69) รองลงมาคือภาวะติดเชื้อ (ร้อยละ 30.77) ผู้ป่วยในกลุ่มที่ได้รับเครื่องช่วยหายใจชนิดไม่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบกำหนดปริมาตรอากาศพบว่ามีแนวโน้มที่จะช่วยป้องกันการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำที่ระยะเวลา 48 ชั่วโมงได้เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการให้ออกซิเจนผ่านทางหน้ากาก (ร้อยละ 0 เทียบกับ ร้อยละ 17.24 มีค่านัยสำคัญ 0.052) มีอัตราการเกิดภาวะหายใจล้มเหลวที่ระยะเวลา 48 ชั่วโมงต่างกันอย่างชัดเจน (ร้อยละ 0 เทียบกับร้อยละ 41.38 มีค่านัยสำคัญน้อยกว่า 0.001) โดยผู้ป่วยร้อยละ 6.89 ได้รับการช่วยเหลือโดยการใส่เครื่องกำเนิดออกซิเจนชนิดความไหลสูง ร้อยละ 17.24 ได้รับการให้เครื่องช่วยหายใจชนิดไม่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบปกติ และร้อยละ 17.24 ถูกใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำ ไม่พบความแตกต่างกันของอัตราการเกิดภาวะปอดอักเสบ (ร้อยละ 6.90 เทียบกับร้อยละ 20.69 มีค่านัยสำคัญ 0.253) ระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล (ค่ามัธยฐาน 23 (พิสัยควอไทล์ 27) เทียบกับ 24 (พิสัยควอไทล์ 17) โดยมีค่านัยสำคัญ 0.541) และ อัตราการเสียชีวิตที่ 28 วัน (ร้อยละ 13.79 เทียบกับ ร้อยละ 20.69 โดยมีค่านัยสำคัญ 0.487)
สรุป การศึกษานี้เป็นการศึกษาแรกที่มีการนำเครื่องช่วยหายใจชนิดไม่ใส่ท่อช่วยหายใจแบบกำหนดปริมาตรอากาศมาใช้ในการช่วยลดอัตราการเกิดภาวะหายใจล้มเหลวหลังการถอดท่อช่วยหายใจ และมีแนวโน้มที่จะช่วยในการลดอัตราการใส่ท่อช่วยหายใจซ้ำได้ในผู้ป่วยวิกฤติอายุรกรรม