Abstract:
เอกัตศึกษาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาการรับรู้รายได้และรายจ่ายสำหรับ
การให้บริการตามสัญญาระยะยาวเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 73/2541
แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 74/2541 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 ข้อ 1 (ก)
วรรคสอง ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงการเกิดขึ้นของรายได้และรายจ่ายตามหลักงวดเวลาที่จะได้รับผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจตามลักษณะของการให้บริการตามสัญญาระยะยาว อันมีลักษณะเป็นเงินก้อน
เพื่อตอบแทนการให้บริการเมื่อทำสัญญา โดยการชำระเพียงครั้งเดียวตลอดอายุสัญญาที่เกิน 10 ปี
และความเกี่ยวพันโดยตรงระหว่างต้นทุนที่เกิดขึ้นกับรายได้ที่มาจากรายการเดียวกัน
จากการศึกษาพบว่า การคำนวณรายได้ดังกล่าวมีหลักพิจารณาการรับรู้รายได้อยู่ 2 แนวทาง
จะเห็นได้ว่า หลักเกณฑ์ในการพิจารณาการรับรู้รายได้ดังกล่าวไม่เหมาะสมมีการจำกัดจำนวน
ระยะเวลาไว้ไม่เกิน 10 ปี หลักเกณฑ์ดังกล่าวนั้นขาดหลักการในการพิจารณาระยะเวลาที่เหมาะสม
ของอายุสัญญา และไม่ได้คำนึงถึงลักษณะของสัญญาที่มีระยะเวลาเกิน 10 ปีขึ้นไปซึ่งขัดกับ
หลักเสรีภาพในการทำ สัญญาและเกณฑ์สิทธิตามประมวลรัษฎากร รวมถึงทางเลือกที่ให้
ผู้ประกอบการสามารถรับรู้รายได้ทั้งจำนวนในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มให้บริการนั้น ย่อมส่งผลให้
ไม่สะท้อนตามลักษณะการได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจตามเกณฑ์สัดส่วนของเวลาในแต่ละ
รอบระยะเวลาบัญชีอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังพบปัญหาความไม่ชัดเจนในการตีความเกี่ยวกับการรับรู้รายได้และรายจ่ายตาม
ประมวลรัษฎากรในรูปแบบสัญญาที่มีลักษณะไม่กำหนดระยะเวลาแห่งสัญญาแต่มีลักษณะการก่อให้
เกิดประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต (Future economic benefit) ตามลักษณะของสัญญา และ
รูปแบบสัญญาที่มีลักษณะสามารถขยายอายุสัญญาตามแต่ละกรณีที่ระบุข้อกำหนดไว้ในสัญญา
อย่างไรก็ตามแนวปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 74/2541 นั้นออกโดยไม่ได้อาศัย
อำนาจตามความในประมวลรัษฎากรและไม่มีสถานะเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป แต่เป็น
เพียงแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรในการปฏิบัติงานการจัดเก็บภาษีอากร ซึ่งหาก
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว อาจเกิดความเสี่ยงที่จะมีข้อโต้แย้ง
จากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรประเมินได้
โดยบทสรุปจากการศึกษาในครั้งนี้ ผู้เขียนขอเสนอความคิดอันเป็นแนวทางสำหรับ
การพิจารณาออกบทบัญญัติแห่งกฎหมายภาษีอากรโดยพิจารณาจากลักษณะของสัญญาตาม
ระยะเวลาแห่งสัญญา เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจตามเกณฑ์สัดส่วนของเวลาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี รวมทั้งเป็นแนวทางในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรและผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล อันจะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีอากรมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการประกอบธุรกิจที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง