Abstract:
ลูกหนี้อาจใช้ทรัสต์ตาม พ.ร.บ. ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 เป็นเครื่องมือในการหลบเลี่ยงการชำระหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งทรัสต์จะต้องนำทรัพย์ไปฝากให้ทรัสตีช่วยจัดการดูแลเพื่อมอบให้แก่ผู้รับประโยชน์ โดยทรัพย์ที่ไปฝากนั้นจะต้องถูกโอนกรรมสิทธิ์ไปให้แก่ทรัสตี แต่ลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งทรัสต์ด้วยก็ยังสามารถเข้ารับประโยชน์ และเจ้าหนี้ของผู้ก่อตั้งทรัสต์ไม่สามารถเข้าบังคับชำระหนี้จากทรัพย์นั้น ได้ในช่วงระยะเวลาที่ทรัพย์อยู่ในกองทรัสต์ เพราะทรัพย์นั้นมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของของลูกหนี้ จึงเป็นช่องทางทำให้ลูกหนี้ทำการฉ้อฉลเจ้าหนี้ได้ แม้ว่าตามหลักการของ พ.ร.บ. ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน จะกำหนดให้ผู้ก่อตั้งทรัสต์จะต้องเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์ และทรัสตีก็ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการก่อนก็ตาม แต่ก็มิได้เป็นการยืนยันว่าจะไม่เกิดกรณีดังกล่าว
เมื่อพิจารณาสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามองค์ประกอบของสัญญา พบว่าการใช้ทรัสต์เพื่อหลบเลี่ยงการชำระหนี้มีความบกพร่อง 2 ประการ คือ วัตถุประสงค์ของสัญญาที่ต้องห้ามตามกฎหมายโดยชัดเจน และเจตนาภายในของสัญญาไม่ตรงกับเจตนาที่แสดงออก รวมถึงการแสดงเจนนาโดยวิปริต แม้กฎหมายไทยจะมีกลไกสำหรับเยียวยาเจ้าหนี้ คือ การกล่าวอ้างความเป็นโมฆะกรรม และ การเพิกถอนการฉ้อฉล แต่กลไกดังกล่าวเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาให้แก่เจ้าหนี้ในสัญญาทั่วไปเท่านั้น จากการศึกษากรณีดังกล่าวในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น พบว่าแนวทางการแก้ปัญหาของญี่ปุ่นมาความสอดคล้องกับระบบกฎหมายของไทยมากที่สุด โดยเพิ่มเติมหลักการเพิกถอนการฉ้อฉลให้คำนึงถึงความสุจริตของผู้รับประโยชน์ พร้อมกับกำหนดข้อยกเว้นในการพิจารณาความสุจริตของทรัสตี แต่อย่างไรก็ตามการการแก้ไขกฎหมายอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้รับประโยชน์ซึ่งสุจริตมากเกินไป ดังนั้นอาจจะใช้วิธีการเพิ่มเติมมาตรการในการคัดกรองการเข้ารับประโยชน์ของผู้ก่อตั้งทรัสต์ขึ้นใช้แทนการแก้ไขกฎหมาย