DSpace Repository

Residential environments and sleep-disordered breathing in Bangkok Thailand: a repeated cross-sectional study

Show simple item record

dc.contributor.advisor Nutta Taneepanichskul
dc.contributor.advisor Naricha Chirakalwasan
dc.contributor.author Sattamat Lappharat
dc.contributor.other Chulalongkorn University. College of Public Health Sciences
dc.date.accessioned 2020-04-05T04:27:05Z
dc.date.available 2020-04-05T04:27:05Z
dc.date.issued 2017
dc.identifier.uri http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/64619
dc.description Thesis (M.P.H.) --Chulalongkorn University, 2017
dc.description.abstract Since epidemiological associations have demonstrated the effects of long-term air pollution to OSA through a physiological mechanism linking particulate matter exposure to OSA. We enrolled 81 participants from the Excellence Center for Sleep Disorders at King Chulalongkorn Memorial hospital, Bangkok, Thailand. This study consists of two seasons (the wet and the dry seasons), which it started during the period of January in 2016 to April in 2017. Personal information, bedroom environmental characteristics, subjective sleep quality, underlying diseases, bedroom environmental conditions (PM10, temperature, and relative humidity), and urinary melatonin were obtained by a face-to-face interview, medical record, field analysis, and laboratory analysis respectively. A big proportion of participants experienced poor sleep and was suffered from severe OSA. An elevation in 1-year mean PM10 concentration was significantly associated with an increase in an apnea-hypopnea index (Beta = 1.04, p value = 0.021), and respiratory disturbance index (Beta = 1.07, p value = 0.013). An increase of bedroom temperature during sleep was significantly associated with poorer sleep quality (AOR = 1.46, 95% CI; 1.01, 2.10; p value = 0.044). Associations between PM10 concentration and respiratory disturbance index were observed in the dry season (Beta = 0.59, p value = 0.040) but not in the wet season (Beta =0.39, p value = 0.215). PM10 was not associated with subjective sleep quality. A significant association between PM10 concentrations and low levels of urinary melatonin was found (AOR = 1.06, 95% CI; 1.00, 1.11; p value = 0.048), and participants whose bedroom had an elevation of PM10 concentrations, it has a statistically significant 1.07-fold increased odds of low melatonin concentrations (≤ 15.24 ng/mg) (95% CI; 1.01-1.13; p value = 0.034). This research suggests that lowering in exposure to particulate matter and suitable bedroom environments may lessen the severity of OSA, promote good sleep, and improve or maintain melatonin level.  
dc.description.abstractalternative มลพิษทางอากาศในบ้านเรือนเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับภาวะการหยุดหายใจขณะนอนหลับ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 ไมโครเมตร และความรุนแรงของภาวะการหยุดหายใจขณะนอนหลับในผู้ป่วย การศึกษาแบบการวัดซ้ำนี้ได้นำมาใช้เพื่อศึกษาผู้ป่วยจากศูนย์นิทราเวชของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานคร จำนวน 81 คน ระหว่าง มกราคม 2559 - เมษายน 2560 โดยแบ่งเป็นฤดูแล้ง (พฤษภาคม-สิงหาคม 2559) และฤดูฝน (ธันวาคม 2559-มีนาคม 2560) กลุ่มตัวอย่างได้ถูกสอบถาม ข้อมูลประชากร โรคประจำตัว และลักษณะสิ่งแวดล้อมภายในห้องนอน ในขั้นเริ่มต้นการศึกษาโดยใช้แบบสอบถาม ส่วนคุณภาพการนอนหลับ สภาวะสิ่งแวดล้อมภายในห้องนอน (ฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 ไมโครเมตร อุณหภูมิ และความชื้น) และระดับฮอร์โมนเมลาโทนินในปัสสาวะได้ถูกเก็บทั้งสองฤดูกาล ผลการวิจัย พบว่าประชากรส่วนใหญ่มีภาวะการนอนหลับที่ไม่ดี และมีภาวะการหยุดหายใจขณะนอนหลับขั้นรุนแรง เมื่อทำการหาความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ย 1 ปีของความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 ไมโครเมตรกับดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่ว (Beta = 1.04, p value = 0.021) และดัชนีการหายใจผิดปกติ (Beta = 1.07, p value = 0.013) พบว่ามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ อุณหภูมิภายในห้องนอนที่เพิ่มขึ้นขณะนอนหลับมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับคุณภาพการนอนหลับที่แย่ลง (AOR = 1.46, 95% CI; 1.01, 2.10; p value = 0.044) เมื่อแบ่งตามฤดูกาล พบความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 ไมโครเมตรกับดัชนีการหายใจผิดปกติ ซึ่งในฤดูแล้งพบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Beta = 0.59, p value = 0.040) แต่ไม่พบความสัมพันธ์ในฤดูฝน (Beta =0.39, p value = 0.215) อย่างไรก็ ตามไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 ไมโครเมตรกับคุณภาพการนอนหลับ นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 ไมโครเมตรกับระดับฮอร์โมนเมลาโทนินในปัสสาวะที่ต่ำ (AOR = 1.06, 95% CI; 1.00, 1.11; p value = 0.048) และพบว่าเมื่อห้องนอนของกลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 ไมโคร เมตรเพิ่มขึ้น 1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของการลดลง (≤ 15.24 ng/mg) ของความเข้มข้นฮอร์โมนเมลาโทนิน ร้อยละ 7 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (AOR = 1.07; 95% CI : 1.01-1.13; p value = 0.034) สรุปผลการศึกษาได้ว่า ประชากรหรือผู้ป่วยที่มีภาวะการหยุดหายใจขณะนอนหลับควรได้รับความรู้เกี่ยวกับสภาวะสิ่งแวดล้อมภายในห้องนอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 10 ไมโครเมตร เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันส่งผลต่อการรับสัมผัสฝุ่นละอองและสร้างสภาวะห้องนอนที่ดีในการลดระดับความรุนแรงภาวะการหยุดหายใจขณะนอนหลับ
dc.language.iso en
dc.publisher Chulalongkorn University
dc.relation.uri http://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2017.498
dc.rights Chulalongkorn University
dc.subject Sleep apnea syndromes -- Thailand -- Bangkok
dc.subject Sleep disorders -- Thailand -- Bangkok
dc.subject ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ -- ไทย -- กรุงเทพฯ
dc.subject การนอนหลับผิดปกติ -- ไทย -- กรุงเทพฯ
dc.subject.classification Health Professions
dc.title Residential environments and sleep-disordered breathing in Bangkok Thailand: a repeated cross-sectional study
dc.title.alternative สภาพแวดล้อมในบ้านเรือนและภาวะการหยุดหายใจในขณะนอนหลับ ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย:การศึกษาแบบสำรวจซ้ำ
dc.type Thesis
dc.degree.name Doctor of Philosophy
dc.degree.level Doctoral Degree
dc.degree.discipline Public Health
dc.degree.grantor Chulalongkorn University
dc.email.advisor Nutta.T@chula.ac.th
dc.email.advisor Naricha.C@chula.ac.th
dc.identifier.DOI 10.58837/CHULA.THE.2017.498


Files in this item

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record