Abstract:
"อาวุธปืน’ นอกจากจะใช้เพื่อการกีฬาแล้วมักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชญากรรมอีกด้วยทำให้ภาครัฐต้องพิจารณาควบคุมอาวุธปืนของประชาชน ซึ่งการควบคุมดังกล่าวทำให้เกิดทัศนคติ 2 แนวทาง 1. การควบคุมอย่างเข้มงวด โดยมีแนวคิดว่าหากประชาชนไม่มีอาวุธปืนแล้วอาชญากรรมย่อมหมดสิ้นไป ดังนั้นจึงควร ห้ามประชาชนมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง 2. การควบคุมอย่างเสรี แนวทางนี้เห็นว่าการที่จะห้ามประชาชนมีอาวุธปืนเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพที่ประชาชนมีเพื่อปกป้องตนเองและทรัพย์สิน ยามที่รัฐไม่สามารถให้ความคุ้มครองประชาชนได้ ดังนั้นจึงสมควรให้ประชาชนมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง ดังนั้น การควบคุมอาวุธปืนของประเทศไทย จึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาแนวทางเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่าง 2 ทัศนะ เพราะในปัจจุบันกฎหมายอาวุธปืนของไทยมี พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490 ใช้บังคับอยู่เพียงฉบับเดียว และเป็นเวลานานกว่า 50 ปี จึงทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมายหลายประการไม่ว่าจะเป็นความไม่ชัดเจน คลุมเครือ และล้าสมัย ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมในปัจจุบัน วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้ศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายอาวุธปืนของต่างประเทศทั้งประเทศที่มีความเข้มงวดประเทศที่มีความยืดหยุ่นและประเทศที่มีความเสรี ในการควบคุมอาวุธปืนเพื่อหาแนวทางปรับปรุงกฎหมายอาวุธปืนของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย จากการศึกษาพบว่า ทุกประเทศต่างก็อนุญาตให้ประชาชนมี ใช้ และพกพาอาวุธปืนได้ เพราะถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่จะป้องกันตนเองและทรัพย์สิน แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของมาตรการควบคุมหลักเกณฑ์การขออนุญาตมี ใช้ และพกพาอาวุธปืน การกำหนดเงื่อนไข วิธีการตรวจสอบ ความเข้มงวดในการพิจารณาอนุญาต ตลอดจนความรุนแรงของบทลงโทษที่มักจะคำนึงถึงความปลอดภัยของสาธารณชนในสังคมเป็น หลักมากที่สุด วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้เสนอว่า กฎหมายอาวุธปืนของประเทศไทย ควรมีลักษณะแบบกึ่งผสมผสานกับกฎหมายของหลายประเทศ โดยนำหลักเกณฑ์การควบคุมที่เป็นจุดเด่นของประเทศเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้และกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขการควบคุมการมีและใช้อาวุธปืนตามสภาพสังคมของประเทศไทยต่อไป