Abstract:
ในยุคที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนดลยีและความก้าวหน้าทางสังคม ทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น ส่งผลให้นายจ้างนำเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมาใช้ในการควบคุมตรวจตราลูกจ้างโดยการดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ การติดตั้งกลอ้งโทรทัศน์วงจรปิด การเช็คข้อความในอีเมล์หรือการใช้อินเตอร์เน็ตของลูกจ้างในสถานประกอบการเอกชนมากขึ้น วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงแนวคิดและมาตรการทางกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้างในสถานประกอบการเอกชนในประเทศไทย โดยศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษและประเทศแคนาดา เพื่อเสนอแนะและ/หรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จากการศึกษาพบว่า สิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้างในสถานประกอบการเอกชนถือว่าเป็นสิทธิมนุษยชนประการหนึ่งที่รัฐต่าง ๆ ควรให้การรับรองและคุ้มครอง ซึ่งในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษชน ข้อ 12 ก็ได้รับรองว่าบุคคลย่อมไม่ถูกแทรกแซงโดยพลการในความเป็นอยู่ส่วนตัว ในครอบครัว ในเคหสถานหรือในการสื่อสาร รัฐทั้งหลายต่างก็ยอมรับว่าสิทธิส่วนบุคคลดังกล่าวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งควรได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยก็ได้นำแนวคิดและหลักการดังกล่าวมาบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่ปัจเจกชน ซึ่งสอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและเป็นหลักการที่สำคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับต่าง ๆ ในอดีตจนถึงปัจจุบันได้บัญญัติรับรองสิทธิส่วนบุคคลไว้แล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่ามีเพียงหลักการแห่งความเป็นส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังขาดกฎหมายที่กำหนดขอบเขต วิธีการ ตลอดจนมาตรการทางกฎหมาย ในการใช้บังคับกับหน่วยงานภาคเอกชน เพื่อนุวัตสิทธิส่วนบุคคลอันเป็นสิทธิขึ้นพื้นฐานให้มีการบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายอาญามีลักษณะเป็นการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นมากกว่าที่จะเป็นลักษณะของการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จึงไม่สามารถนำมาปรับใช้ในยุคปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศได้ แม้ในปัจจุบันจะมีพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นกฎหมายทางด้านแรงงานที่กำหนดถึงสิทธิ หน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง แต่มิได้มีบทบัญญัติที่ให้ความคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้างในการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ไว้เลย จึงเป็นว่ารัฐควรที่จะผลักดันให้ร่างพระราชบัญญํติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.... ซึ่งเป็นกฎหมายกลางที่ให้คุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในข้อมูลข่าวสารของปัจเจกชน มีผลใช้บังคับครอบคลุมถึงหน่วยงานภาคเอกชนด้วย และควรที่จะได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 108 เพื่อให้มีขอบเขตการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้างในการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้างที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัย