Abstract:
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ จากปัจจัยทาง เศรษฐกิจและการเมืองที่มีการใช้นโยบายการส่งเสริมลงทุนและการค้าระหว่างประเทศในระบบทุนนิยม โดยที่มีกลุ่มทุนธุรกิจและการเมืองสร้างประโยชน์ โดยอาศัยกลไกของรัฐจากการใช้นโยบายสาธารณะ เป็นการศึกษาบริบทเศรษฐศาสตร์การเมืองที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรม เหล็กต้นน้ำของประเทศไทย โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ช่วงที่มีการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยใช้แนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองในการวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลกระทบ ความสัมพันธ์ และข้อดีข้อเสียของการลงทุนที่มีความสำคัญต่อการพัฒนา อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำของประเทศ ผลการศึกษาพบว่าอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำในประเทศที่ขึ้นอยู่กับการใช้นโยบายของรัฐเกี่ยวกับ การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มีการใช้แนวทางของโครงสร้างนิยมในการส่งเสริมการลงทุน อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ โดยที่รัฐเข้าไปแทรกแซงการลงทุนจากการใช้นโยบายการส่งเสริมการลงทุน แบบเฉพาะราย ที่เป็นการสร้างอำนาจทางธุรกิจให้กับกลุ่มทุนนิยมและมีต้นทุนทางการเมืองสูง ซึ่งเมื่อ ลงทุนเกินความต้องการใช้ในประเทศ ทำให้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากรัฐได้มีการ ใช้แนวทางเสรีนิยมในด้านการเปิดการค้าเสรีอุตสาหกรรมเหล็กกับญี่ปุ่น จีนและออสเตรเลีย ทำให้ไทย เสียเปรียบทางด้านการแข่งขัน เนื่องจากความสามารถในด้านประสิทธิภาพการผลิตด้อยกว่า และขาด ประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ แต่ถ้าไม่มีการเปิดการค้าเสรีเหล็ก จะเป็นการกีดกันทางอ้อม ทำให้นักลงทุนต่างประเทศอาจพิจารณาถอนการลงทุนอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ ภาพรวมเศรษฐกิจ ดังนั้นรัฐไม่จำเป็นที่ต้องสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ เนื่องจากรัฐต้องไปลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และใช้ทุนทางเศรษฐกิจสูง ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากรัฐต้องการให้เปิดการค้าเสรีเหล็ก แต่ถ้ารัฐใช้นโยบายการแทรกแซงการลงทุนผสมผสานกับ แทรกแซงการเปิดเสรีการค้า โดยสนับสนุนการลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการใช้เหล็กในประเทศ มากกว่าผลิตเพื่อการส่งออก และเป็นการสร้างเศรษฐกิจแบบพอเพียง