Abstract:
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงสาเหตุของความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2) วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต 3) พัฒนาต้นแบบที่เหมาะสมในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตโดยประยุกต์ใช้ MOST และ SMART และ 4) ศึกษาผลการใช้ต้นแบบที่เหมาะสมในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตโดยใช้การสำรวจ วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ระยะ การวิจัยระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ใช้การวิจัยเชิงสำรวจในการวิเคราะห์ความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตและความต้องการจำเป็น ตัวอย่างวิจัย ประกอบด้วย นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตจำนวน 1,494 คน จากสถาบันอุดมศึกษารัฐ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน และสถานศึกษานอกสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบวัดความรู้ทางการเงินมีความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) มีค่าอยู่ระหว่าง .428 ถึง 1.000 มีค่าความเที่ยง (KR20) เท่ากับ .783 มีค่าความยากอยู่ระหว่าง .533 ถึง .783 มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .278 ถึง .764 แบบวัดเจตคติทางการเงินและพฤติกรรมทางการเงินมีความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) มีค่าอยู่ระหว่าง .714 ถึง 1.000 และมีความเที่ยงแบบความสอดคล้องภายในได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคอยู่ระหว่าง .692 ถึง .951 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงบรรยาย ค่าดัชนี PNI แบบปรับปรุง และการวิเคราะห์ตัวแปรพหุนาม การวิจัยระยะที่ 3 เป็นการประยุกต์ใช้ MOST แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนแรก เป็นการวิเคราะห์การศึกษาความรอบรู้ด้านการเงินจากเอกสาร สกัดและพัฒนาองค์ประกอบของต้นแบบที่เหมาะสม ขั้นตอนที่สอง เป็นการคัดเลือกสื่อการเรียนการสอนและคุณลักษณะของเนื้อหาการเรียนการสอนตามคุณลักษณะของต้นแบบที่เหมาะสม มาตรวจสอบการตอบสนองต่อต้นแบบที่เหมาะสมด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 10 คน ในการวิจัยระยะนี้ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและการประมาณค่าขนาดอิทธิพล การวิจัยระยะที่ 4 เป็นการประยุกต์ใช้ SMART ด้วยการสำรวจ (experimental survey) ในการวิเคราะห์การใช้ต้นแบบที่เหมาะสม ตัวอย่างวิจัย ประกอบด้วย นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตจำนวน 232 คน จากสถาบันอุดมศึกษารัฐ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน และสถานศึกษานอกสังกัดฯ เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามคุณลักษณะของต้นแบบที่เหมาะสม มีความเที่ยงแบบความสอดคล้องภายในได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคอยู่ระหว่าง .767 ถึง .951 และแบบสอบถามสถานการณ์ตามคุณลักษณะของต้นแบบที่เหมาะสม มีความเที่ยงแบบความสอดคล้องภายในได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคอยู่ระหว่าง .693 ถึง .883 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงบรรยายและการวิเคราะห์คอนจอยท์ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1) โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตที่สร้างขึ้นตามทฤษฎีมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (chi-square (19, N = 1,494) = 35.392, p = .012, relative chi-square = 1.862, RMSEA = .024, SRMR = .011) โดยโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุนี้ แสดงให้เห็นว่า ความรู้ที่มีมาก่อนทางการเงินและประสบการณ์ทางการเงินมีอิทธิพลทางตรงต่อความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษา (DE = .718 และ .106 ตามลำดับ) และการได้รับอิทธิพลจากบทบาททางสังคมมีอิทธิพลทางอ้อมต่อความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษาโดยส่งผ่านความรู้ที่มีมาก่อนทางการเงินและประสบการณ์ทางการเงิน (IE = .683) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2) ผลการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการเงินของนิสิตนักศึกษาในภาพรวม พบว่า นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตมีความต้องการจำเป็นด้านความรู้ทางการเงินเป็นอันดับแรก (PNI modified = .912) มีความต้องการจำเป็นด้านพฤติกรรมทางการเงินเป็นอันดับสอง (PNI modified = .343) และมีความต้องการจำเป็นด้านเจตคติทางการเงินเป็นอันดับสุดท้าย (PNI modified = .296)
3) ผลการประยุกต์ใช้ MOST จากการสัมภาษณ์และศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้ต้นแบบที่เหมาะสม 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) รูปแบบการศึกษาความรอบรู้ด้านการเงิน ประกอบด้วย การเรียนการสอนแบบในห้องเรียน การเรียนการสอนแบบนอกห้องเรียน และการเรียนการสอนแบบผสม (2) สื่อการเรียนการสอน ประกอบด้วย สื่อการอ่าน สื่อการเรียนการสอนแบบวิดีโอ สื่อการเรียนการสอนแบบบทสัมภาษณ์และกรณีศึกษา และ (3) คุณลักษณะของเนื้อหาการเรียนการสอน ประกอบด้วย ความตระหนักทางการเงิน ความมุ่งมั่นทางการเงิน และการสะท้อนคิด ได้ต้นแบบที่เหมาะสม จำนวน 27 แบบที่มีคุณลักษณะแตกต่างกัน
4) ผลการใช้ต้นแบบที่เหมาะสมจำนวน 27 แบบ แสดงว่า นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตพึงพอใจต่อ (1) องค์ประกอบรูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (important = .879) โดยให้ความสำคัญกับคุณลักษณะการเล่าเรื่องในบล็อก (utility = .462) (2) องค์ประกอบการสัมภาษณ์และกรณีศึกษา (important = .594) โดยให้ความสำคัญกับคุณลักษณะการดูบทสัมภาษณ์ (utility = .821) และ (3) องค์ประกอบการสะท้อนคิด (important = 1.572) โดยให้ความสำคัญกับคุณลักษณะการทบทวนการกระทำที่ผ่านมา (utility = .462) ต้นแบบที่เหมาะสมในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการเงินได้สูงที่สุด ประกอบด้วย มีการเล่าเรื่องในบล็อคและการระดมสมองในห้องเรียน มีการอ่านบทความและดูบทสัมภาษณ์ และมีเนื้อหาเรื่องความพยายามทางการเงินและการทบทวนการกระทำทางการเงินที่ผ่านมา