Abstract:
การสังเกตชั้นเรียนและการให้ข้อมูลป้อนกลับเป็นสมรรถนะของครูที่สนับสนุนคุณลักษณะของนักเรียนไปสู่เป้าหมายทางการศึกษา การวิจัยนี้มี 3 ระยะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์สภาพการสังเกตชั้นเรียนและการให้ข้อมูลป้อนกลับของครูในมุมมองครูและมุมมองนักเรียน (2) พัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือประเมินการสังเกตชั้นเรียนและการให้ข้อมูลป้อนกลับของครู ทั้งเครื่องมือที่มีวิดีโอเป็นฐาน และมาตรประมาณค่า และ (3) วิเคราะห์และเปรียบเทียบรูปแบบการสังเกตชั้นเรียนและการให้ข้อมูลป้อนกลับของครูจากเครื่องมือที่มีวิดีโอเป็นฐานและมาตรประมาณค่า ทั้งนี้ระยะแรกเป็นขั้นการวิเคราะห์สภาพการสังเกตนักเรียนในชั้นเรียนและการให้ข้อมูลป้อนกลับของครูในมุมมองครูและมุมมองนักเรียน ผู้ให้ข้อมูลเป็นครูและนักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน 36 คน เก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่สองเป็นการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือประเมินการสังเกตชั้นเรียนและการให้ข้อมูลป้อนกลับของครู โดยเครื่องมือที่มีวิดีโอเป็นฐานประกอบด้วยชุดคำถามสำหรับแอนิเมชัน 3 วิดีโอ ตรวจสอบคุณภาพในด้านความสมจริง ความตรงเฉพาะหน้า และความเที่ยงระหว่างผู้ประเมินโดยใช้สถิติแคปปา ส่วนมาตรประมาณค่า 5 ระดับ ผ่านการตรวจสอบในด้านความตรงเฉพาะหน้า ความตรงเชิงเนื้อหาด้วยดัชนี IOC ความตรงเชิงโครงสร้างด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และความเที่ยงเชิงความสอดคล้องภายในด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟา ระยะที่สาม วิเคราะห์และเปรียบเทียบรูปแบบการสังเกตชั้นเรียนและการให้ข้อมูลป้อนกลับของครูประถมศึกษาจำนวน 47 คน ที่ตอบเครื่องมือที่มีวิดีโอเป็นฐานและมาตรประมาณค่า ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแบบดั้งเดิมและการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงแก่นสาระด้วยโปรแกรม MAXQDA ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. ลักษณะของพฤติกรรมที่ครูสังเกตชั้นเรียน มี 3 ด้าน ได้แก่ 1) การสังเกตชั้นเรียนด้านความรู้ ประกอบด้วย การรู้ชัดและการรู้ไม่จริง 2) การสังเกตชั้นเรียนด้านความรู้สึก ประกอบด้วย อารมณ์ทางบวกและอารมณ์ทางลบ และ 3) การสังเกตชั้นเรียนด้านพฤติกรรม ประกอบด้วย พฤติกรรมที่สนับสนุนการเรียนการสอนและพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และวิธีการให้ข้อมูลป้อนกลับที่ครูใช้ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) การให้ข้อมูลป้อนกลับทั่วไป 2) การให้ข้อมูลป้อนกลับทางบวก และ 3) การให้ข้อมูลป้อนกลับทางลบ
2. เครื่องมือที่มีวิดีโอเป็นฐานที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยแอนิเมชัน 3 วิดีโอ ซึ่งออกแบบคำถามเป็นปลายเปิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียนที่ให้ครูสังเกตและเสนอข้อมูลป้อนกลับ รวมทั้งให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินความสมจริงของสถานการณ์ในวิดีโออยู่ในระดับที่ยอมรับได้ มีความตรงเฉพาะหน้า และมีค่าความเที่ยงระหว่างผู้ประเมินด้วยสถิติแคปปาอยู่ในช่วง .607 - .866 ส่วนมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 26 ข้อ มีความตรงเฉพาะหน้า ส่วนความตรงเชิงเนื้อหาด้วยดัชนี IOC มีค่า .670 – 1 ขณะที่ผลจากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันบ่งชี้ว่ามีความตรงเชิงโครงสร้าง โดยโมเดลการวัดการสังเกตชั้นเรียนมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ( X2 (14, N = 47) = 13.650, p = .476, CFI = 1.00, RMSEA < .001, SRMR = .020) และโมเดลการวัดการให้ข้อมูลป้อนกลับมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ( X2 (1, N = 47) = 0.903, p = .342, CFI = 1.00, RMSEA < .001, SRMR = .012) นอกจากนี้มีความเที่ยงด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาอยู่ในช่วง .655 – .907
3. ผลการวิเคราะห์รูปแบบโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแบบปกติและการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงแก่นสาระด้วยโปรแกรม MAXQDA ให้ผลที่สอดคล้องกัน โดยการใช้เครื่องมือที่มีวิดีโอเป็นฐานบ่งชี้ว่าครูมีรูปแบบการสังเกตชั้นเรียนในด้านเทคนิคการสอนมากที่สุด และด้านความรู้ของนักเรียนน้อยที่สุด นอกจากนี้ครูมีรูปแบบการให้ข้อมูลป้อนกลับในด้านการชี้ประเด็นได้ตรงจุดมากที่สุด และด้านการมีความหมายน้อยที่สุด ขณะที่การใช้เครื่องมือมาตรประมาณค่าบ่งชี้ว่าครูมีรูปแบบการสังเกตชั้นเรียนในทุกด้านดีมาก และครูมีรูปแบบการให้ข้อมูลป้อนกลับในด้านทุกด้านดีมาก ยกเว้นด้านการมีความหมาย เมื่อเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์รูปแบบและความคุ้มค่าจากการใช้เครื่องมือทั้งสองได้ข้อสรุปว่า ควรใช้เครื่องมือที่มีวิดีโอเป็นฐานในการประเมินการสังเกตชั้นเรียนและการให้ข้อมูลป้อนกลับมากกว่าการใช้มาตรประมาณค่า