Abstract:
การบูรณาการงานวิจัยสู่การปฏิบัติการพยาบาลเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่พยาบาลวิชาชีพทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อพัฒนาความสามารถของวิชาชีพและส่งเสริมคุณภาพการดูแล การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการทำงานและประเมินความต้องการจำเป็นของพยาบาลในการส่งเสริมทำงานแบบเชื่อมโยงงานวิจัยกับการปฏิบัติ 2) พัฒนาหลักการออกแบบและต้นแบบโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการทำงานแบบเชื่อมโยงการปฏิบัติงานที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์ (EBP) กับการปฏิบัติงานที่นำไปสู่การสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ (PBE) ตามแนวคิดการเรียนรู้บนฐานไอซีที และ 3) วิเคราะห์ผลการใช้โปรแกรมส่งเสริมการทำงานแบบ EBP-PBE nexus และถอดบทเรียนเป็นหลักการออกแบบใหม่ การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรก การวิเคราะห์และสำรวจความต้องการจำเป็น โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยประเมินความต้องการจำเป็น ตัวอย่างวิจัยคือ พยาบาลวิชาชีพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 489 คน และผู้ให้ข้อมูลจำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้คือ แบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีคุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหา ความเที่ยงและความตรงเชิงโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย กำหนดความต้องการจำเป็น โดยใช้สูตร PNImodified และการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่สอง การพัฒนาหลักการออกแบบต้นแบบโปรแกรมส่งเสริมการทำงานแบบ EBP-PBE nexus โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยการออกแบบ ผู้วิจัยนำข้อมูลความต้องการจำเป็น และแนวคิดเชิงทฤษฎีมากำหนดหลักการออกแบบโปรแกรม ประกอบด้วย แนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน แนวคิดพยาบาลพี่เลี้ยงเพื่อส่งเสริมการทำงานโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และแนวคิดการจัดการเรียนรู้บนฐานไอซีที และระยะที่สาม การประเมินและสะท้อนผล เป็นการนำต้นแบบโปรแกรมส่งเสริมการทำงานแบบ EBP-PBE nexus ไปทดลองใช้กับตัวอย่างวิจัยเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นพยาบาลผู้ป่วยวิกฤต จำนวน 17 คน เพื่อประเมินผลการใช้ต้นแบบและนำผลที่เกิดขึ้นไปกำหนดหลักการออกแบบใหม่ ผลการวิจัยพบว่า
1) พยาบาลวิชาชีพมีความต้องการจำเป็นที่ควรได้รับการพัฒนา ได้แก่ ความต้องการจำเป็นด้านการเชื่อมโยงการวิจัยกับการปฏิบัติ ด้านเจตคติที่ดีต่อการทำงานแบบ EBP-PBE nexus ด้านการนำความรู้ไปใช้ในการทำงาน และด้านความตั้งใจในการทำงานแบบ EBP-PBE nexus
2) หลักการเชิงสาระสำหรับต้นแบบโปรแกรม มีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่ การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้เพื่อให้เกิดเจตคติที่ดี การสนับสนุนการทำงานด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์โดยพี่เลี้ยง และการส่งเสริมการเรียนรู้โดยใช้ไอซีที มีกระบวนการส่งเสริมการดำเนินงานในต้นแบบโปรแกรม 6 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การศึกษาบริบทการทำงานของพยาบาลแต่ละหน่วยงาน 2) การกำหนดตัวอย่างบทความวิจัยที่ตรงกับความสนใจของพยาบาล (3) การสืบค้นและประเมินผลงานวิจัยด้วยตนเอง 4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างพี่เลี้ยง พยาบาลและเพื่อนร่วมงาน (5) การให้ความรู้ ชี้แนะ ช่วยเหลือและสนับสนุนจากพี่เลี้ยงที่มีความเชี่ยวชาญทางคลินิก และ (6) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมกับการทำงานเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
3) ผลการจากการวัดซ้ำ พบว่า เจตคติที่ดีต่อการทำงานแบบ EBP-PBE nexus การนำความรู้ไปใช้ในการทำงาน และความตั้งใจในการทำงานแบบ EBP-PBE nexus เพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับปานกลางค่อนข้างมากทุกตัวแปร ส่วนความสามารถด้านการเชื่อมโยงการวิจัยกับการปฏิบัติ จากการประเมินผลตามสภาพจริง พบว่า พยาบาลสามารถอ่านบทความวิจัยทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ สรุปสาระสำคัญของบทความวิจัยพร้อมประเมินระดับคุณภาพงานวิจัยหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ ข้อมูลจากการวิจัยสามารถนำเสนอหลักการออกแบบใหม่ ประกอบด้วย หลักการออกแบบทั่วไป 7 ข้อและหลักการออกแบบระดับพื้นที่ 8 ข้อ การวิจัยนี้ยืนยันการใช้แนวคิดการเรียนรู้บนฐานไอซีทีเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงการวิจัยกับการปฏิบัติ