Abstract:
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเครื่องมือวัดตัวแปรที่มีความอ่อนไหว โดยประยุกต์ใช้เทคนิค RRT และ SDS 2) เปรียบเทียบคุณสมบัติทางจิตมิติของเครื่องมือที่ใช้ในการวัดตัวแปรที่มีความอ่อนไหวระหว่างเครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT เครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT ร่วมกับ SDS เครื่องมือที่ใช้การถามโดยตรง และเครื่องมือที่ใช้การถามโดยตรงร่วมกับ SDS และ 3) เปรียบเทียบเจตคติของครูที่มีต่อเพศวิถีซึ่งวัดได้จากเครื่องมือที่พัฒนาขึ้น ระหว่างครูที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน ตัวอย่างในการวิจัยคือ ครูผู้สอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 และ เขต 2 และสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 267 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย แบบวัดเจตคติของครูที่มีต่อเพศวิถี จำนวน 4 รูปแบบ ได้แก่ (1) เครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT (2) เครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT ร่วมกับ SDS (3) เครื่องมือที่ใช้การถามโดยตรง และ (4) เครื่องมือที่ใช้การถามโดยตรงร่วมกับ SDS ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดำเนินการวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานและสถิติอ้างอิง ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์การกระจาย ความเบ้ ความโด่ง การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทาง การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน การวิเคราะห์ค่าความเที่ยงด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค การตรวจสอบการทำหน้าที่ต่างกันของข้อสอบ การสร้างเกณฑ์แปลผลคะแนนโดยอ้างอิงบรรทัดฐานจากคะแนนทีปกติ และการวิเคราะห์เพื่อประมาณค่าคะแนนข้อคำถามรายข้อตามเทคนิค RRT ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. เครื่องมือวัดตัวแปรที่มีความอ่อนไหวโดยประยุกต์ใช้เทคนิค RRT และ SDS ที่พัฒนาขึ้นในการวิจัยครั้งนี้เป็นเครื่องมือวัดเจตคติของครูที่มีต่อเพศวิถี ซึ่งมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การตีตราทางเพศ การประเมินค่าและความรู้สึก ความเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันทางสังคม และการแสดงออกต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ประกอบด้วย 4 รูปแบบ แต่ละรูปแบบมีลักษณะสำคัญและผลการตรวจสอบคุณภาพ ดังนี้ 1) เครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT มีลักษณะข้อคำถามเป็นแบบเลือกตอบ (ใช่/ไม่ใช่) จำนวน 31 ข้อ ซึ่งประยุกต์ใช้เทคนิค RRT (การใช้เครื่องมือสุ่ม และข้อคำถามที่ไม่กี่ยวข้องกับประเด็นที่มีความอ่อนไหว) โมเดลการวัดไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (chi-square = 89.932, df = 4, p = 0.000, RMSEA = 0.535) ความเที่ยงทั้งฉบับอยู่ในระดับต่ำ (α = .507) มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ (ระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบต่อข้อเท่ากับ 7.023 วินาที และไม่พบการสูญหายของข้อมูล) และไม่พบข้อคำถามที่มีอคติ
2) เครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT ร่วมกับ SDS มีลักษณะข้อคำถามเป็นแบบเลือกตอบ (ใช่/ไม่ใช่) จำนวน 31 ข้อ ซึ่งประยุกต์ใช้เทคนิค RRT (การใช้เครื่องมือสุ่ม และข้อคำถามที่ไม่กี่ยวข้องกับประเด็นที่มีความอ่อนไหว) ประกอบกับมาตรวัดความต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคม มีความตรงเชิงโครงสร้างโดยโมเดลการวัดสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (chi-square = 3.183, df = 1,
p = 0.074, RMSEA = 0.105) ความเที่ยงทั้งฉบับอยู่ในระดับสูง (α = .840) มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ (ระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบต่อข้อเท่ากับ 9.302 วินาที และไม่พบการสูญหายของข้อมูล) และไม่พบข้อคำถามที่มีอคติ 3) เครื่องมือที่ใช้การถามโดยตรง มีลักษณะข้อคำถามเป็นแบบเลือกตอบ (ใช่/ไม่ใช่) จำนวน 31 ข้อ มีความตรงเชิงโครงสร้างโดยโมเดลการวัดสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (chi-square = 2.570, df = 2, p = 0.278, RMSEA = 0.081) ความเที่ยงทั้งฉบับอยู่ในระดับพอรับได้ (α = .714) มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ (ระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบต่อข้อเท่ากับ 9.686 วินาที และไม่พบการสูญหายของข้อมูล) และไม่พบข้อคำถามที่มีอคติ 4) เครื่องมือที่ใช้การถามโดยตรงร่วมกับ SDS มีลักษณะข้อคำถามเป็นแบบเลือกตอบ (ใช่/ไม่ใช่) จำนวน 31 ข้อ ประกอบกับมาตรวัดความต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคม มีความตรงเชิงโครงสร้างโดยโมเดลการวัดสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (chi-square = 0.658, df = 2, p = 0.720, RMSEA = 0.000) ความเที่ยงทั้งฉบับอยู่ในระดับสูง (α = .813) มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ (ระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบต่อข้อเท่ากับ 13.641 วินาที และไม่พบการสูญหายของข้อมูล) และไม่พบ
ข้อคำถามที่มีอคติ
2. ผลการเปรียบเทียบคุณสมบัติทางจิตมิติของเครื่องมือวัดเจตคติของครูที่มีต่อเพศวิถี ทั้ง 4 รูปแบบ มีดังนี้ 1) ด้านความตรงเชิงโครงสร้าง เครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT และ SDS โมเดลการวัดมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์และเป็นโมเดลที่มีความเหมาะสมมากที่สุด 2) ด้านความเที่ยง เครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT และ SDS นั้นมี
ค่าความเที่ยงทั้งฉบับสูงที่สุด 3) ด้านความเป็นไปได้ในการใช้แบบวัดฯ เครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT ร่วมกับ SDS นั้นมีคุณภาพที่ดีเป็นอันดับที่สอง (ใช้ระยะเวลาเฉลี่ยต่อข้อน้อยและไม่พบข้อมูลสูญหาย) โดยอันดับที่หนึ่งคือเครื่องมือที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT ซึ่งโมเดลการวัดไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์จึงพิจารณาคัดออก และ 4) ด้านความไร้อคติ เครื่องมือทั้ง 4 รูปแบบไม่พบข้อที่ทำให้เกิดความลำเอียง/อคติจากทั้งเพศ และอายุของครู จึงสามารถสรุปได้ว่า เครื่องมือวัดเจตคติของครูที่มีต่อเพศวิถีที่ประยุกต์ใช้เทคนิค RRT ร่วมกับ SDS นั้นมีคุณสมบัติทางจิตมิติดีที่สุด
3. ผลการเปรียบเทียบเจตคติของครูที่มีต่อเพศวิถีระหว่างครูที่มีเพศและอายุแตกต่างกัน พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยครูผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมีระดับเจตคติสูงที่สุด รองลงมาคือครูเพศชายและครูเพศหญิงตามลำดับ นอกจากนี้พบว่า 1) ครูที่มีอายุน้อยกว่า 31 ปีมีคะแนนเจตคติสูงกว่าครูที่มีอายุ 41-50 ปีและครูที่มีอายุมากกว่า 50 ปี 2) ครูที่มีอายุ 31-40 ปีมีคะแนนเจตคติสูงกว่าครูที่มีอายุ 41-50 ปีและครูที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และ 3) ครูที่มีอายุ 41-50 ปีมีคะแนนเจตคติสูงกว่าครูที่มีอายุมากกว่า 50 ปี