การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวิธีการที่เหมาะสมในการคิดคะแนนสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในวิทยาลัยครู ซึ่งวิธีการคิดคะแนน 4 วิธีนั้นคือ การคิดคะแนนแบบความสามารถแท้ (Ѳ) ตามแนวทฤษฎีคุณลักษณะแฝง (Latent Trait Theory ) การคิดคะแนนแบบถ่วงน้ำหนัก (W) การคิดคะแนนแบบที-ปกติ ( T ) และการคิดคะแนนแบบคะแนนดิบ (S) โดยได้ศึกษาถึงผลของอันดับที่ของผู้เข้าสอบจากการคิดคะแนนแต่ละวิธี ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนแต่ละวิธี ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนแต่ละวิธีกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และประสิทธิภาพของแบบทดสอบคัดเลือกที่คิดคะแนนแต่ละวิธี ในการทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซึ่งประชากรในการวิจัยได้แก่ ผู้ที่สอบเข้าศึกษาในวิทยาลัยครูเทพสตรี และวิทยาลัยรำไพพรรณี ปีการศึกษา 2525 และ 2527 จำนวน 2,469 คน และ 1,429 คน ตามลำดับ ส่วนกลุ่มตัวอย่างนั้นได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เข้าศึกษาในสถาบันดังกล่าวปีการศึกษา 2525 รวม 855 คน และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าศึกษา ปีการศึกษา 2527 รวม 841 คน สำหรับข้อมูลที่ใช้ครั้งนี้ได้แก่คะแนนผลการสอบคัดเลือกของผู้ที่สอบเข้าศึกษา ปีการศึกษา 2525 และ 2527 วิชาที่สอบคือความรู้ทั่วไปซึ่งประกอบด้วย 5 วิชาคือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และสังคมศึกษา และวิชาเฉพาะสาขาหรือวิชาเอก ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งคือ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าศึกษา ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ได้ทำคะแนนของผู้เข้าสอบในปีการศึกษา 2527 ให้อยู่ในแต่ละรูปแบบแล้วจัดเรียงลำดับที่และคิดร้อยละที่แปรเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับการคิดแบบคะแนนดิบ หาค่าความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนที่คิดแต่ละวิธี และกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพร้อมทั้งจัดเรียงอันดับความมากน้อยของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ดังกล่าว และทำการตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของแบบทดสอบคัดเลือกที่คิดคะแนนแต่ละวิธี โดยอาศัยเกณฑ์ร้อยละของการสลับที่ของอันดับ ขนาดของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณและ ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนาย ผลการวิจัยปรากฎดังนี้ 1. การคิดคะแนนแบบความสามารถแท้ (Ѳ) ทำให้อันดับที่ของผู้เข้าสอบแปรเปลี่ยนไปจากการคิดแบบคะแนนดิบ (S) มากที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีคิดคะแนนแบบถ่วงน้ำหนัก (W) และคะแนนที-ปกติ (T) ส่วนวิธีการคิดคะแนนที่ทำให้อันดับที่ของผู้เข้าสอบช้ากับอันดับที่ที่คิดด้วยวิธีคะแนนดิบ (S) มากที่สุด คืออันดับที่ที่คิดคะแนนด้วยวิธีที-ปกติ (T) และถ่วงน้ำหนัก (W) ในวิทยาลัยครูเทพสตรีและวิทยาลัยรำไพพรรณีตามลำดับ 2. คะแนนสอบคัดเลือกที่คิดด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 4 วิธี มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แทบทุกวิชาเอก ยกเว้นคะแนนความสามารถแท้ (Ѳ) กับคะแนนที่คิดด้วยวิธีอื่นของวิชาเอกการอาหาร ไฟฟ้า ดนตรี และเกษตรศาสตร์ ในวิทยาลัยครูเทพสตรีและวิทยาลัยรำโพพรรณีตามลำดับ3. คะแนนสอบคัดเลือกที่คิดด้วยแต่ละวิธีส่วนใหญ่ผู้มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 ส่วนที่มีความสัมพันธ์กันแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติเช่นคะแนนความสามารถแท้ (Ѳ) กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มวิชาเอก
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวิธีการที่เหมาะสมในการคิดคะแนนสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในวิทยาลัยครู ซึ่งวิธีการคิดคะแนน 4 วิธีนั้นคือ การคิดคะแนนแบบความสามารถแท้ (Ѳ) ตามแนวทฤษฎีคุณลักษณะแฝง (Latent Trait Theory ) การคิดคะแนนแบบถ่วงน้ำหนัก (W) การคิดคะแนนแบบที-ปกติ ( T ) และการคิดคะแนนแบบคะแนนดิบ (S) โดยได้ศึกษาถึงผลของอันดับที่ของผู้เข้าสอบจากการคิดคะแนนแต่ละวิธี ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนแต่ละวิธี ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนแต่ละวิธีกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และประสิทธิภาพของแบบทดสอบคัดเลือกที่คิดคะแนนแต่ละวิธี ในการทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซึ่งประชากรในการวิจัยได้แก่ ผู้ที่สอบเข้าศึกษาในวิทยาลัยครูเทพสตรี และวิทยาลัยรำไพพรรณี ปีการศึกษา 2525 และ 2527 จำนวน 2,469 คน และ 1,429 คน ตามลำดับ ส่วนกลุ่มตัวอย่างนั้นได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เข้าศึกษาในสถาบันดังกล่าวปีการศึกษา 2525 รวม 855 คน และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าศึกษา ปีการศึกษา 2527 รวม 841 คน สำหรับข้อมูลที่ใช้ครั้งนี้ได้แก่คะแนนผลการสอบคัดเลือกของผู้ที่สอบเข้าศึกษา ปีการศึกษา 2525 และ 2527 วิชาที่สอบคือความรู้ทั่วไปซึ่งประกอบด้วย 5 วิชาคือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และสังคมศึกษา และวิชาเฉพาะสาขาหรือวิชาเอก ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งคือ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าศึกษา ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ได้ทำคะแนนของผู้เข้าสอบในปีการศึกษา 2527 ให้อยู่ในแต่ละรูปแบบแล้วจัดเรียงลำดับที่และคิดร้อยละที่แปรเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับการคิดแบบคะแนนดิบ หาค่าความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนที่คิดแต่ละวิธี และกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพร้อมทั้งจัดเรียงอันดับความมากน้อยของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ดังกล่าว และทำการตรวจสอบประสิทธิภาพในการทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของแบบทดสอบคัดเลือกที่คิดคะแนนแต่ละวิธี โดยอาศัยเกณฑ์ร้อยละของการสลับที่ของอันดับ ขนาดของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณและ ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการทำนาย ผลการวิจัยปรากฎดังนี้ 1. การคิดคะแนนแบบความสามารถแท้ (Ѳ) ทำให้อันดับที่ของผู้เข้าสอบแปรเปลี่ยนไปจากการคิดแบบคะแนนดิบ (S) มากที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีคิดคะแนนแบบถ่วงน้ำหนัก (W) และคะแนนที-ปกติ (T) ส่วนวิธีการคิดคะแนนที่ทำให้อันดับที่ของผู้เข้าสอบช้ากับอันดับที่ที่คิดด้วยวิธีคะแนนดิบ (S) มากที่สุด คืออันดับที่ที่คิดคะแนนด้วยวิธีที-ปกติ (T) และถ่วงน้ำหนัก (W) ในวิทยาลัยครูเทพสตรีและวิทยาลัยรำไพพรรณีตามลำดับ 2. คะแนนสอบคัดเลือกที่คิดด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 4 วิธี มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แทบทุกวิชาเอก ยกเว้นคะแนนความสามารถแท้ (Ѳ) กับคะแนนที่คิดด้วยวิธีอื่นของวิชาเอกการอาหาร ไฟฟ้า ดนตรี และเกษตรศาสตร์ ในวิทยาลัยครูเทพสตรีและวิทยาลัยรำโพพรรณีตามลำดับ3. คะแนนสอบคัดเลือกที่คิดด้วยแต่ละวิธีส่วนใหญ่ผู้มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 ส่วนที่มีความสัมพันธ์กันแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติเช่นคะแนนความสามารถแท้ (Ѳ) กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มวิชาเอก