Abstract:
งานวิจัยนี้เป็นโครงการนำร่องของการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยด้านการใช้ยาที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมิน 1) ประสบการณ์การใช้ยาของผู้ป่วย ได้แก่ ทัศนคติ ความเข้าใจในการใช้ยา ความคาดหวัง ความวิตกกังวล และความสะดวกหรือความร่วมมือในการใช้ยา และ 2) คุณภาพชีวิตด้านการใช้ยาโดยใช้วิธีการประเมินคุณภาพชีวิตแบบรายบุคคลชนิดที่เรียกว่า Patient-Generated Index (PGI) โดยรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยให้การดูแลการใช้ยาที่คลินิกเฉพาะโรค MTM (Medication Therapy Management) ที่โอสถศาลา ซึ่งเป็นบริการใหม่ของร้านยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างเดือนกันยายน 2553-เมษายน 2554 โดยมีผู้เข้าร่วมการวิจัยทั้งหมด 25 คน ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ คือ มีการใช้ยาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เข้าใจภาษาไทยและสื่อสารได้ และยินยอมเข้าร่วมการวิจัย โดยวิธีการเก็บข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อผู้ป่วย 1 ราย และลักษณะของข้อมูลที่เก็บมีทั้งข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ และคุณลักษณะของผู้ป่วยมีดังนี้ อายุเฉลี่ย 56.9±13.5 (ต่ำสุด-สูงสุด: 24-79) เป็นเพศหญิง 13 คน (52%) และผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูง 21 คน (84%) ไขมันในเลือดสูง 13 คน (52%) และเบาหวาน 4 คน (16%) และจำนวนยาและวิตะมินที่ใช้เฉลี่ย 4.6±2.6 (ต่ำสุด-สูงสุด: 1-13) ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ไม่ชอบการรับประทานยา แต่ต้องรับประทานยาด้วยความจำเป็น เหตุผลที่ต้องรับประทานยาเพราะมีอาการของโรคแล้วและอยากให้อาการดีขึ้นหรือหายไปหรือกลับมาเป็นปกติ และเหตุผลที่ไม่ชอบรับประทานยาเพราะกลัวแพ้ยา กลัวยาสะสมที่ตับไต เป็นต้น และมีผู้ป่วยประมาณครึ่งที่ชอบใช้ทางเลือกอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากยา เช่น การใช้สมุนไพรหรือวิตะมินหรืออาหารเสริมเป็นต้น สำหรับความเข้าใจในการใช้ยาผู้ป่วยส่วนใหญ่รทราบวิธีการใช้ยาและเหตุผลของการใช้ยา แต่ไม่ทราบชื่อยาเป้าหมายของการใช้ยา ผลข้างเคียงและความแรงของยา และสิ่งที่ผู้ป่วยคาดหวังจากการใช้ยา คือ ควบคุมอาการให้ดีขึ้นหรือหายขาดเพราะไม่อยากรับประทานยาไปตลอดชีวิต ไม่มีผลข้างเคียง และราคาของยามีความสมเหตุสมผล สำหรับความวิตกกังวลเกี่ยวกับการใช้ยามากที่สุด คือ ผลข้างเคียงของยา สำหรับปัญหาความร่วมมือในการใช้ยาที่ประเมินโดยแบบสอบถาม Morisky Medication Adherence Scale (MMAS) ที่พบบ่อยที่สุดได้แก่ การลืมรับประทานยา 18 คน (72%) รองลงมาคือ การลดขนาดยาหรือหยุดยาเนื่องจากรู้สึกแย่เวลารับประทานยา 11 คน (44%) และแบ่งเป็นผู้ที่มีความร่วมมือในการใช้ยาระดับต่ำ (คะแนน MMAS<6) จำนวน 11 คน (44%) และระดับปานกลาง (6<คะแนน MMAS<8) จำนวน 13 คน (52%) และมีผู้ป่วยที่คะแนนความร่วมมือในการใช้ยาที่สูงคือได้คะแนน MMAS เต็ม 8 คะแนน จำนวน 1 คน (4%) สำหรับคุณภาพชีวิตด้านการใช้ยาพบว่า มิติที่ถูกเลือกว่าเป็นผลกระทบจากการใช้ยามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ใช้ ความวิตกกังวล/ความกลัว/ความเครียดเกี่ยวกับการใช้ยา ความมั่นคง/ปลอดภัยในชีวิต การพึ่งพิงการใช้ยา/กลัวติดยา ความเจ็บปวด/ความสบายทางร่างกาย ค่าเฉลี่ยของคะแนนคุณภาพชีวิตด้านยาของผู้ป่วยที่ประเมินโดยวิธี PGI เท่ากับ 0.57±0.24 (ต่ำสุด-สูงสุด: 0-0.83) โดยคะแนน 0.57 หมายถึงการใช้ยาทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลงไป 43% จากภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจไป (คะแนนเต็ม 1) สรุปผลการวิจัย: โครงการวิจัยนำร่องการพัฒนาการดูแลการใช้ยาต่อเนื่องตามแนวทางผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางทำให้บุคลากรทางการแพทย์ทราบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาที่มาจากมุมมองของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอันจะนำไปสู่การวางแผนแก้ไขปัญหาของผู้ป่วยรวมทั้งการพัฒนาขบวนการและเครื่องมือในการดูแลผู้ป่วยด้านการใช้ยาในอนาคต