Abstract:
วัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ เพื่อศึกษาการเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์และคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสถานฝึกโยคะ ของผู้ฝึกโยคะในกรุงเทพมหานคร โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้คือชาวไทยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการฝึกโยคะพื้นฐานอย่างง่ายขึ้นไป ทั้งที่มีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์ในการใช้สถานฝึกโยคะจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคำถามกับวัตถุประสงค์ พบว่าค่าที่ได้คือ 0.85 และค่าความเที่ยงของแบบสอบถามที่ได้คือ 0.92 ผู้วิจัยได้ทำการสร้างแบบสอบถามออนไลน์ผ่านกลุ่มปิดเฟซบุ๊คที่มีลักษณะเป็นชุมชนออนไลน์ของผู้ที่ฝึกโยคะและการออกกำลังกายจำนวน 4 กลุ่ม วิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ สถิติสมการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ โดยตั้งระดับนัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ 0.05
ผลการวิจัยพบว่า การเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ในด้าน Facebook fanpage YouTube และ Pantip.com ส่งผลเชิงบวกต่อการตัดสินใจเลือกสถานฝึกโยคะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ด้าน Blog ส่งผลเชิงลบต่อการตัดสินใจเลือกสถานฝึกโยคะ อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ส่วนการเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ด้าน Website และ Instagram ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสถานฝึกโยคะ และความต้องการคุณภาพการบริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า ด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้า ส่งผลทางบวกต่อการตัดสินใจเลือกสถานฝึกโยคะ อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ส่วนความต้องการคุณภาพการบริการ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ และ การให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสถานฝึกโยคะของผู้ฝึกโยคะในกรุงเทพมหานคร
สรุปผลการวิจัย การเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์ด้าน Facebook fanpage YouTube และ Pantip.com ส่งผลเชิงบวก และ ด้าน Blog ส่งผลเชิงลบ ต่อการตัดสินใจเลือกสถานฝึกโยคะของผู้ฝึกโยคะในกรุงเทมหานคร และ ความต้องการคุณภาพการบริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ ด้านการตอบสนองลูกค้า และ ด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้า ส่งผลเชิงบวกต่อการตัดสินใจเลือกสถานฝึกโยคะของผู้ฝึกโยคะในกรุงเทพมหานคร