Abstract:
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง เพื่อประเมินการสั่งใช้ยากลุ่มสแตตินในทางปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด และศึกษาประสิทธิผลการลดระดับไขมันในเลือดของยากลุ่มสแตตินในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัส ณ โรงพยาบาลกระทุ่มแบน มีผู้ป่วยเข้าร่วมการวิจัย 551 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 52.5 เมื่อประเมินการสั่งใช้ยากลุ่มสแตตินตามแนวทางเวชปฏิบัติการใช้ยารักษาภาวะไขมันผิดปกติเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด พ.ศ. 2559 มีผู้ป่วยที่ควรได้รับยากลุ่มสแตตินตามคำแนะนำเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด 198 ราย (ร้อยละ 35.9) แต่ได้รับยากลุ่มสแตตินเพียง 37 ราย (ร้อยละ 6.7) และไม่ได้รับยากลุ่มสแตตินสำหรับป้องกันปฐมภูมิและทุติยภูมิ 155 ราย (ร้อยละ 28.1) และ 6 ราย (ร้อยละ 1.1) ตามลำดับ เมื่อจำแนกตามระดับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดปฐมภูมิ พบว่า ผู้ป่วยที่ระดับความเสี่ยงปานกลางและสูงถึงสูงมากได้รับการสั่งใช้ยากลุ่มสแตตินไม่ตรงตามคำแนะนำมากกว่าตรงตามคำแนะนำในแนวทางเวชปฏิบัติฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01 และ P<0.01 ตามลำดับ) สำหรับข้อมูลประสิทธิผลของการลดระดับไขมันในเลือดของยากลุ่มสแตตินในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ระยะเวลา 3, 6 และ 12 เดือน พบว่า กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยากลุ่มสแตตินและกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่มสแตตินมีผลต่างของระดับแอลดีแอลในเลือด ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01) ผลจากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า อัตราการสั่งใช้ยากลุ่มสแตตินเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่เหมาะสมตามเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 37.7 แม้ว่ายากลุ่มสแตตินจะมีประสิทธิผลในการลดระดับไขมันในเลือดและมีความปลอดภัยในการใช้ร่วมกับยาต้านไวรัส ดังนั้นควรมีการพิจารณาเพิ่มการสั่งใช้ยากลุ่มสแตตินอย่างสมเหตุผลตามเกณฑ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ติดเชื้อเอชไอวี