Abstract:
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาปัจจัยและผลลัพธ์ของการปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยาต้านจุลชีพกลุ่มฟลูออโรควิโนโลนจากยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำเป็นยารับประทาน
วิธีดำเนินการวิจัย: การศึกษาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยใน ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพกลุ่มฟลูออโรควิโนโลนรูปแบบฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำชนิดใดชนิดหนึ่งใน 3 ชนิด ได้แก่ levofloxacin ciprofloxacin และ moxifloxacin ณ โรงพยาบาลศิริราช ระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561
ผลการวิจัย: ผู้ป่วยทั้งหมด 360 ราย แบ่งเป็นผู้ที่ปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยา 157 ราย และผู้ที่ไม่ปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยา 203 ราย พบว่า สำหรับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ได้แก่ การมีอัตราการหายใจปกติ การมีอัตราการเต้นของหัวใจปกติ การกลืนอาหารทางปากเองได้ และการไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเมื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างผู้ป่วย 2 กลุ่ม พบว่า กลุ่มที่ปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยามีระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาล และมูลค่ายาต้านจุลชีพกลุ่มฟลูออโรควิโนโลนน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยา ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001)
สรุปผลการวิจัย: อัตราการปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยาต้านจุลชีพกลุ่มฟลูออโรควิโนโลนจากยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำเป็นยารับประทาน คิดเป็นร้อยละ 43.6 โดยปัจจัยที่สัมพันธ์กับการปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยา ได้แก่ อัตราการหายใจปกติ อัตราการเต้นของหัวใจปกติ การกลืนอาหารทางปากได้เอง และการไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งกลุ่มที่ปรับเปลี่ยนวิธีบริหารยา สามารถลดระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาล และลดค่าใช้จ่ายด้านค่ายาลงได้