Abstract:
พนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 45 ของบุคลากรทั้งหมด เมื่อถึงวัยเกษียณย่อมหมายถึงรายได้ประจำที่เคยมีได้สิ้นสุดลง และอาจส่งผลต่อการอยู่อาศัยในวัยเกษียณ งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาการวางแผนทางการเงินเพื่อการอยู่อาศัยในวัยเกษียณของพนักงานกลุ่มนี้ ทั้งด้านการออมเงินและการเตรียมการด้านที่อยู่อาศัย รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง และใช้แบบสอบถามพนักงานมหาวิทยาลัยที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป จำนวน 330 คน และวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
ผลการศึกษาพบว่า (1) กลุ่มตัวอย่างมีการวางแผนทางการเงินเพื่อการอยู่อาศัยหลังเกษียณร้อยละ 60.6 โดยเริ่มออมเมื่ออายุ 40 ปี เมื่อทดสอบสมมติฐานจากข้อมูลกลุ่มตัวอย่างภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด หากมีค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ 11,320 บาทต่อเดือน ผู้ที่วางแผนทางการเงินจะมีเงินออมสำหรับใช้จ่ายได้ประมาณ 11 ปีหลังเกษียณ ในขณะที่ผู้ที่ไม่มีการวางแผนทางการเงิน จะมีเงินออมสำหรับใช้จ่ายได้ประมาณ 3 ปีหลังเกษียณ (2) การวางแผนด้านที่อยู่อาศัยในวัยเกษียณ พบว่ากลุ่มตัวอย่างต้องการอยู่ในที่อยู่เดิมร้อยละ 64.2 ซึ่งในกลุ่มนี้กว่าร้อยละ 54.6 ยังไม่มีแนวคิดในการปรับปรุงที่อยู่อาศัย ในขณะที่ผู้ต้องการย้ายที่อยู่ร้อยละ 35.8 โดยผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านมีแนวโน้มจะอาศัยอยู่ที่เดิมมากกว่า ส่วนผู้ที่วางแผนย้ายที่อยู่อาศัยส่วนมากเป็นผู้เช่า หรือมีที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด (3) กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้สูงต้องการนโยบายสนับสนุนด้านการออมและสร้างรายได้ ขณะที่ผู้มีรายได้ต่ำกว่าต้องการนโยบายสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินและการมีที่อยู่อาศัย ทั้งนี้พนักงานร้อยละ 66 ที่ไม่เคยศึกษาการวางแผนการอยู่อาศัยหลังเกษียณ และไม่มีความรู้ด้านการลงทุน จึงต้องการให้มหาวิทยาลัยสนับสนุนด้านการให้ความรู้ในการวางแผนทางการเงินตั้งแต่เริ่มเข้าทำงาน รวมถึงการขยายเวลาเกษียณหรือสนับสนุนอาชีพหลังเกษียณอายุ
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า พนักงานมหาวิทยาลัยไม่มีสวัสดิการหลังเกษียณเหมือนกับข้าราชการ การวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณจึงมีความสำคัญอย่างมาก แม้ว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีการออมและวางแผนทางการเงินแล้ว แต่ยังคงมีเงินออมไม่เพียงพอเนื่องจากยังไม่มีความรู้ด้านนี้มากนัก มหาวิทยาลัยและภาครัฐจึงควรส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ด้านการวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณตั้งแต่ช่วงเริ่มเข้าทำงาน และพัฒนากลไกการออมภาคสมัครใจให้พนักงานมีการออมมากขึ้น เพื่อลดปัญหาการทางการเงินของผู้สูงอายุในอนาคต