Abstract:
ความเป็นมา: ยาเคมีบำบัดสูตรที่มีออกซาลิพลาตินเป็นส่วนประกอบ เป็นยาเคมีบำบัดสูตรหลักที่ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ผลข้างเคียงสำคัญภายหลังได้รับเคมีบำบัดสูตรดังกล่าวคือภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทฟิลต่ำ ซึ่งภาวะดังกล่าวนำไปสู่การลดปริมาณเคมีบำบัดหรือการเลื่อนรอบกรให้ยา อย่างไรก็ตามการปรับลดปริมาณยาภายหลังกิดผลข้างเคียงดังกล่าวยังไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
วิธีการศึกษา: การศึกษาทดลองแบบไขว้กันแบบมีการสุ่ม, รวบรวมผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรงระยะสามหรือสี่ ที่มีเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลสัมบูรณ์ต่ำกว่า 1,500 /mm3 ภายหลังได้รับยาเคมีบำบัดสูตร FOLFOX มาทำการศึกษาเปรียบเทียบการปรับสูตรเคมีบัดระหว่างกลุ่มระหว่างกลุ่มที่ลดขนาดเฉพาะยาฟลูโอโรยูราซิลแบบ bolus dose เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาติน,
วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาคืออัตราการเกิดซ้ำของภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ, วัตถุประสงค์รองคือการเปลี่ยนแปลงปริมาณเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล การเลื่อนรอบการให้เคมีบำบัด และผลข้างเคียงภายหลังให้ยาเคมีบำบัด
ผลการศึกษา: ผู้ป่วย 32 รายถูกนำเข้าสู่การศึกษา ในระหว่างวันที่ 1 ก.ค. 2562 ถึง 30 เม.ย. 2563, ผู้ป่วย 28 รายได้ถูกสุ่มเข้าสู่การให้เคมีบำบัดทั้งสองรูปแบบ, อัตราการเกิดซ้ำของภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำพบร้อยละ 10.71 เทียบกับร้อยละ17.86 ในกลุ่มที่ลดขนาดเฉพาะยาฟลูโอโรยูราซิลแบบ bolus dose เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาตินตามลำดับ (P = 0.727), อัตราการเกิดเกล็ดเลือดต่ำและอัตราการเลื่อนรอบของการให้เคมีบำบัด เกิดขึ้นมากกว่าในกลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาติน
สรุปผล: กลุ่มที่ลดขนาดเฉพาะยาฟลูโอโรยูราซิลแบบ bolus dose มีแนวโน้มในการพบอัตราการเกิดซ้ำของภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ รวมถึงการเกิดผลข้างเคียงภายหลังให้ยาเคมีบำบัด ในอัตราที่น้อยกว่ากลุ่มที่ลดขนาดยาเฉพาะออกซาลิพลาติน โดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ