Abstract:
งานวิจัยนี้ทำการศึกษาการแปรรูปวัตถุดิบไม้ยูคาลิปตัสส่งขายให้กับการผลิตแผ่นกระดาษในพื้นที่ ซึ่งในปัจจุบันมีกำลังการผลิตการแปรรูปอยู่ในปริมาณ 500 ถึง 600 ตันต่อวัน โดยในแต่ละวันจะมีเกษตรกรนำวัตถุดิบมาขายให้ในปริมาณ 400 ถึง 500 ตันต่อวัน โดยที่ปริมาณของเสียที่ได้จากกระบวนการผลิตมีอยู่ในปริมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน ซึ่งทางโรงงานได้มีการบริหารจัดการปริมาณวัตถุดิบสะสมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ถึง 50 ตันต่อวัน ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการศึกษาและต้องการสร้างมูลค่าโดยการแปรรูปของเสียจากการผลิต โดยที่วัตถุดิบนั้นได้จากของเสียทางกระบวนการผลิตมาต่อยอดทางธุรกิจลงทุนในด้านพลังงาน แต่มูลค่าการลงทุนในโครงการดังกล่าว มีเงินลงทุนที่สูง ดังนั้น งานวิจัยนี้ มุ่งเน้นศึกษาในด้านเศรษฐศาสตร์การลงทุนในโครงการดังกล่าว
จากปัญหาดังกล่าวเป็นที่มาของมูลเหตุจูงใจการศึกษาในสารนิพนธ์ฉบับนี้ ในการศึกษาปัญหาประเภทเศษของเสียจากอุตสาหกรรมเพื่อดำเนินการลดมวลอุตสาหกรรม ผลพลอยได้คือนำพลังงานความร้อนที่เกิดจากกระบวนการเผามาผลิตกระแสไฟฟ้า สารนิพนธ์นี้ เลือกศึกษาเทคโนโลยีระบบกังหันไอน้ำที่มีความสามารถเผาใหม่ได้สมบูรณ์มาเป็นแนวทางในการเพิ่มมูลค่าการลงทุนในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีเงินลงทุนที่สูง ดังนั้น สารนิพนธ์นี้ มุ่งเน้นศึกษาปัจจัยของความเสี่ยงในการลงทุนในโครงการที่เหมาะสมกับระบบเทคโนโลยีดังกล่าวต่อไป
จากผลการศึกษาจากการประมาณต้นทุนและผลตอบแทนของโครงการโดยงบกระแสเงินสดนั้น สามารถประเมินความคุ้มค่าของโครงการ และทุกหลักเกณฑ์ได้ทำการคิดลดให้กระแสเงินสดเป็นมูลค่าปัจจุบัน โดยกำหนดอัตราส่วนลดที่เหมาะสม และสอดคล้องกับความเสี่ยงของการลงทุนด้วยต้นทุนเงินทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่ร้อยละ 10.38 ซึ่งสามารถคำนวณเกณฑ์การตัดสินใจทางด้านการเงินได้คือ มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการ (NPV) มีค่าเท่ากับ 204,687,625 บาท อัตราผลตอบแทนภายในโครงการ (IRR) มีค่าเท่ากับร้อยละ 16.71% และสำหรับการวิเคราะห์ความไว ถ้าราคาวัตถุดิบมีการเปลี่ยนแปลงร้อยละ 15 โดยพิจารณาจากราคาซื้อวัตถุดิบในราคา 800 บาทต่อตัน โดยมีผลการตัดสินใจเมื่อนำมาพิจารณาในการตัดสินใจลงทุน พบว่า ค่า NPV ที่ได้มีค่ามากกว่าศูนย์ค่า และ IRR มีค่ามากกว่า WACC เพราะฉะนั้นการลงทุนในโครงการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์โดยใช้ไม้จากต้นยูคาลิปตัส เป็นเชื้อเพลิงหลักจึงมีความคุ้มค่าในการลงทุน