Abstract:
เนื่องจากในระหว่างปี พ.ศ. 2563 ทั่วโลกได้เผชิญกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ที่ระบาดไปอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ทำให้ส่งผลกระทบทั้งต่อวิถีการ
ดำรงชีวิตของผู้คนทั่วไป รวมไปถึงสภาพเศรฐกิจของแต่ละประเทศก็ได้รับกระทบเป็นอย่างมาก
เช่นเดียวกัน ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 เป็นการอย่างมาก ทั้งในด้านการลงทุนจากในประเทศและนอกประเทศ การท่องเที่ยวที่ซบเซา
ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีแนวโน้มหยุดชะงักไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยความเสียหาย
จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อเศรษฐกิจนั้นกระทบภาคธุรกิจหลายกิจการทั้งใน
ส่วนของภาคบริการและการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวลง ทำให้เกิดการเลิกจ้างแรงงาน
จะเห็นว่าจากผลกระทบในส่วนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมได้ลามมากระทบในส่วนของภาคประชาชน
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ทางรัฐบาลจึงได้มีเร่งออกมาตรการช่วงเหลือต่างๆ ทั้งในส่วนของภาคธุรกิจ
และภาคประชาชน เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเม็ดเงินไหลเวียนใน
ระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการช่วยเหลือบรรเทาในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้สามารถดำเนิน
กิจการต่อไปได้แต่อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังคงมีการระบาด
อย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน และไม่มีสัญญาณว่าจะบรรเทาลงในเร็ววัน จึงได้
มีการศึกษามาตรการทางภาษีเงินได้ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโร
นา 2019 ของต่างประเทศ เพื่อหาแนวทางและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมนำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้อง
กับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน
เอกัตศึกษาเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษามาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท
และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย และศึกษา
วิเคราะห์เปรียบเทียบมาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโร
นา 2019 ของประเทศออสเตรเลียและเมียนมา เพื่อจะนำแนวทางมาตรการทางภาษีมาปรับ
ประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบัน
โดยจากการศึกษาพบว่ามาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยยังมีบางมาตรการ
ที่มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ไม่ชัดเจน ให้สิทธิประโยชน์ในทรัพย์สินแค่บางประเภท
บางกลุ่มธุรกิจ หรือให้สิทธิประโยชน์สำหรับการจ้างแรงงานเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก จาการกล่าวมาจึง
จะเห็นได้ว่ามาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ประกาศใช้แล้วในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีประสิทธิภาพ
และความชัดเจนเพียงพอในการส่งเสริมการลงทุน รวมไปถึงไม่ได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตมาก
เท่าที่ควร
ผู้เขียนจึงได้เสนอแนวทางมาตรการทางภาษีประเทศออสเตรเลียและประเทศเมียนมาบาง
มาตรการมาปรับประยุกต์ใช้ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีประสิทธิภาพ
มากยิ่งขึ้น โดยมาตรการทางภาษีในการส่งเสริมการลงทุนในทรัพย์สินที่ควรจะส่งเสริมการลงทุนในทุก
ประเภทของทรัพย์สินและทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในทรัพย์สินและ
การจ้างแรงงานที่สามารถให้ตัดรายจ่ายได้มากขึ้นในปีที่ธุรกิจประสบกับสภาพเศรษฐกิจในสถานการณ์
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกจากจะเป็นการช่วยส่งเสริมการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจ
แล้ว ยังเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีและยังช่วยให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนในบริษัทมากขึ้นอีกด้วย
เพื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนั้น ๆ จะได้ดำเนินกิจการผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจนี้ไปได้