Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลฉับพลันของการสั่นสะเทือนทั้งร่างกาย การจำกัดการไหลเวียนเลือดและการสั่นสะเทือนทั้งร่างกายร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดที่มีต่อคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ระดับแลคเตทในเลือดและความสามารถในการกระโดดในนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอล ระดับมหาวิทยาลัย เพศหญิง อายุ 18-25 ปี จำนวน 12 คน โดยกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนต้องเข้าร่วมการทดลองครบทั้ง 4 เงื่อนไข ประกอบด้วยเงื่อนไขควบคุม (CON) เงื่อนไขการสั่นสะเทือนทั้งร่างกาย (WBV) เงื่อนไขการจำกัดการไหลเวียนเลือด (BFR) และเงื่อนไขการสั่นสะเทือนทั้งร่างกายร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือด (WBV+BFR) โดยใช้วิธีการถ่วงดุลลำดับ ทดสอบตัวแปรความสามารถในการยืนย่อเข่ากระโดด (Countermovement jump) และการกระโดดแบบสควอทจั๊มพ์ (Squat jump) วัดคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อและวัดระดับแลคเตทในเลือด ก่อนและหลังการทดลองในแต่ละเงื่อนไข วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของตัวแปรตามด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทาง (Two-way ANOVA) โดยกำหนดระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
ผลการวิจัยพบว่า ไม่พบความแตกต่างของทุกตัวแปรที่ทดสอบในเงื่อนไขควบคุม ก่อนและหลังการทดสอบ หลังการสั่นสะเทือนทั้งร่างกาย (WBV) อัตราการสร้างแรงช่วง Take-off phase ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อขา และคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อน่องด้านในขณะยืนย่อเข่ากระโดดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ขณะที่ความสูงในการกระโดดและเวลาในการลอยตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในการกระโดดแบบสควอทจั๊มพ์ อย่างไรก็ตามไม่พบความแตกต่างของค่าพลังสูงสุดและพลังสูงสุดสัมพัทธ์ในการกระโดดทั้งสองรูปแบบ หลังการจำกัดการไหลเวียนเลือด (BFR) พบว่าค่าพลังสูงสุดและพลังสูงสุดสัมพัทธ์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในการยืนย่อเข่ากระโดดและการกระโดดแบบสควอทจั๊มพ์ ขณะที่ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อขาลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในการกระโดดแบบสควอทจั๊มพ์ และหลังการสั่นสะเทือนทั้งร่างกายร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือด (WBV+BFR) พบว่าค่าพลังสูงสุดและพลังสูงสุดสัมพัทธ์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในการกระโดดทั้งสองรูปแบบ ขณะที่อัตราการสร้างแรงช่วง Take-off phase และคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อน่องลดลงในการยืนย่อเข่ากระโดดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนความแข็งแรงแบบปฏิกิริยาตอบสนอง (Reactive strength) ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อขา (Leg stiffness) และคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) เพิ่มขึ้นในการกระโดดแบบสควอทจั๊มพ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของเงื่อนไขการทดลอง เวลาในการทดสอบ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองปัจจัยที่มีต่อความสามารถในการยืนย่อเข่ากระโดด นอกจากนี้ยังพบความแตกต่างหลังการทดลองระหว่างเงื่อนไขควบคุม (CON) และเงื่อนไขการสั่นสะเทือนทั้งร่างกาย (WBV) ที่มีต่ออัตราการสร้างแรงในการกระโดดแบบสควอทจั๊มพ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความแตกต่างของเวลาในการทดสอบมีต่อระดับแลคเตทในเลือดในทุกเงื่อนไขการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
สรุปผลการวิจัย การสั่นสะเทือนทั้งร่างกายร่วมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือด มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการทำงานของคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและช่วยพัฒนาพลังสูงสุดในการกระโดดได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการออกกำลังกายรูปแบบอื่น ถึงแม้ว่าจะไม่ส่งผลต่อความสามารถในการกระโดดในนักกีฬาวอลเลย์บอล