Abstract:
เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการฝึกการรับรู้และตอบสนองที่ข้อต่อร่วมกับการออกกำลังกายแบบสั่นสะเทือนทั้งร่างกายที่มีต่อความสามารถในการทรงตัวและการทำงานของระบบประสาทกล้ามเนื้อในนักกีฬาที่มีภาวะข้อเท้าไม่มั่นคง ผู้เข้าร่วมงานวิจัยเป็นนักกีฬาระดับมหาวิทยาลัย ทั้งเพศชายและหญิงที่มีภาวะข้อเท้าไม่มั่นคง จำนวน 52 คน มีอายุระหว่าง 18-27 ปี โดยผ่านการตรวจร่างกายและเกณฑ์การคัดเข้าก่อนเข้าร่วมงานวิจัย จากการตอบแบบสอบถามประเมินตนเอง CAIT ได้คะแนนน้อยกว่าหรือเท่ากับ 24 คะแนน โดยแบ่งผู้เข้าร่วมวิจัยออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 13 คน ได้แก่ กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการฝึกการรับรู้และตอบสนองที่ข้อต่อร่วมกับการออกกำลังกายแบบสั่นสะเทือนทั้งร่างกาย (Control) กลุ่มทดลอง 1 ที่ได้รับการฝึกการรับรู้และตอบสนองที่ข้อต่อเพียงอย่างเดียว (PPT) กลุ่มทดลอง 2 ที่ได้รับการออกกำลังกายแบบสั่นสะเทือนทั้งร่างกายเพียงอย่างเดียว (WBV) และกลุ่มทดลอง 3 ที่ได้รับการฝึกการรับรู้และตอบสนองที่ข้อต่อร่วมกับการออกกำลังกายแบบสั่นสะเทือนทั้งร่างกายต่อเนื่องกัน (PPT+WBV) โดยกลุ่มทดลองทั้ง 3 กลุ่มได้รับโปรแกรมการฝึกที่กำหนด 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ในช่วงการทดลองทุกกลุ่มจะได้รับการฝึกซ้อมทักษะตามปกติภายใต้การควบคุมดูแลของผู้ฝึกสอน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการฝึก ได้แก่ ข้อมูลคุณลักษณะทั่วไป การทดสอบความสามารถในการทรงตัวขณะอยู่นิ่งโดยเครื่องไบโอเด็กซ์ (Biodex stability system) และการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวโดยการทดสอบการทรงตัวตามแนวเส้นรูปดาว (Star excursion balance test) วัดการรับรู้ความรู้สึกที่ข้อต่อ (Joint position senses, JPS) วัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเท้า ทดสอบการทำงานของข้อเท้าโดยการกระโดดลงสู่พื้น (Time to stability, TTS) และฮอฟแมนรีเฟล็กซ์ (H-reflex) ที่กล้ามเนื้อน่องด้านใน (Soleus muscle) ผลการวิจัยพบว่า ในกลุ่มควบคุม ไม่พบความแตกต่างของทุกตัวแปรก่อนและหลังการทดสอบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ขณะที่ทั้ง 3 กลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยความสามารถในการทรงตัวทั้งขณะอยู่นิ่ง เวลาที่ผู้ทดสอบอยู่นิ่งหลังจากที่กระโดดลงมาสู้พื้นด้วยขาข้างเดียว และค่าเฉลี่ยความสูงของ H-reflex ที่กล้ามเนื้อ Soleus ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ยกเว้นบางตัวแปรในกลุ่ม WBV ที่มีค่าความสามารถในการการรับรู้ตำแหน่งของข้อต่อที่ไม่เปลี่ยนแปลง (p>0.05) ส่วนกลุ่ม PPT ไม่พบความแตกต่างก่อนและหลังการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ของค่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเท้าและความสามารถในการทรงตัวขณะเคลื่อนไหว และกลุ่ม PPT+WBV ไม่พบความแตกต่างของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเท้าที่ก่อนและหลังการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) นอกจากนี้ยังพบ ความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความสามารถในการทรงตัวขณะอยู่นิ่งกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้อเท้าในภาพรวมของทุกกลุ่ม (p=0.01) กลุ่ม WBV (p=0.00) และกลุ่ม PPT+WBV (p=0.02) ยกเว้นกลุ่มควบคุม (p=0.07) และกลุ่ม PPT (p=0.08) และค่าเฉลี่ยความสูงของ H-reflex ที่กล้ามเนื้อ Soleus ในภาพรวมของทุกกลุ่ม (p=0.01) กลุ่ม PPT+WBV (p=0.00) กลุ่ม WBV (p=0.01) และกลุ่ม PPT (p=0.04) ยกเว้น กลุ่มควบคุม (p=0.75) จากผลการศึกษานี้สรุปได้ว่า โปรแกรมการฟื้นฟูทั้ง 3 แบบมีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถในการทรงตัวทั้งขณะอยู่นิ่งและเคลื่อนไหว ความสามารถในการทำงานของข้อเท้าและการทำงานของระบบประสาทกล้ามเนื้อไม่แตกต่างกันในนักกีฬาที่มีภาวะข้อเท้าไม่มั่นคง อย่างไรก็ตามโปรแกรมการฝึกการรับรู้และตอบสนองที่ข้อต่อร่วมกับการออกกำลังกายแบบสั่นสะเทือนทั้งร่างกายมีแนวโน้มมีประสิทธิภาพดีกว่าโปรแกรมการฝึกการรับรู้และตอบสนองที่ข้อต่อ หรือการออกกำลังกายแบบสั่นสะเทือนทั้งร่างกายเพียงอย่างเดียว ดังนั้นโปรแกรมนี้จึงสามารถนำมาใช้ในการฟื้นฟูสมรรถภาพและความสามารถในการทำงานของข้อเท้าในนักกีฬาที่มีภาวะข้อเท้าไม่มั่นคงได้