Abstract:
การศึกษาผลของการฝึกพิลาทิสที่มีต่อความสามารถในการทรงตัวและความสามารถในการทำงานสองชนิดพร้อมกัน แบ่งเป็นสองการศึกษา โดยศึกษาการทำงานสองชนิดที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อน พร้อมกับว่านักกีฬามีความแตกต่างจากประชาชนทั่วไปหรือไม่ประการใด แล้วจึงทำการศึกษาผลการฝึกพิลาทิสที่มีต่อการทำงานสองชนิดพร้อมกันเปรียบเทียบในนักกีฬาฟุตซอล ดังนั้นในการศึกษาที่1 เป็นการศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการทำงานเดี่ยว และการทำงานสองชนิดพร้อมกัน ระหว่างกลุ่มประชาชนทั่วไปและกลุ่มนักกีฬาฟุตซอล อายุ 18-25 ปี ของมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต กลุ่มละ 24 คน โดยได้รับการทดสอบความสามารถในการทำงานเดี่ยว 3 รูปแบบ ได้แก่ ดัชนีการเซ ผลการลบเลขถอยหลังทีละ7 และผลการโยนบีนแบ็ค และความสามารถในการทำงานสองชนิดพร้อมกัน 2 รูปแบบ ได้แก่การทำงานสองชนิดที่เป็นงานกลไกพร้อมกับงานใช้ความคิด โดยวัดดัชนีการเซในการยืนขาเดียวพร้อมผลการลบเลข และการทำงานสองชนิดที่ทั้งสองงานเป็นงานกลไก โดยวัดดัชนีการเซในการยืนขาข้างเดียวพร้อมผลการโยนบีนแบ็ค ทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้ Independent sample t-test พบว่า การทำงานสองชนิดที่ทั้งสองงานเป็นงานกลไกเท่านั้น ที่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเป็นนักกีฬามีผลต่อความสามารถในการทำงานสองชนิดที่เป็นงานกลไก
ในการศึกษาที่ 2 ศึกษาผลของการฝึกโปรแกรมพิลาทิสที่มีต่อความสามารถในการทรงตัว ความมั่นคงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ความสามารถในการทำงานเดี่ยว และความสามารถในการทำงานสองชนิดพร้อมกัน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬาฟุตซอลเพศชายจำนวน 26 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 13 คน; กลุ่มที่ 1 กลุ่มฝึกฟุตซอลตามโปรแกรมปกติ สัปดาห์ละ 3-4 ครั้งๆละ 2 ชั่วโมง และกลุ่มที่ 2 กลุ่มฝึกพิลาทิสเสริมร่วมกับฝึกซ้อมฟุตซอลตามปกติ โดยฝึกพิลาทิสเสริมสัปดาห์ละ 2 ครั้งๆ ละ 1 ชั่วโมง แล้วทำการศึกษาตัวแปรด้านความสามารถในการทำงานเดี่ยว ได้แก่ ดัชนีการเซ การลบเลขถอยหลังทีละ7 และการโยนบีนแบ็ค และความสามารถในการทำงานสองชนิดที่เป็นงานกลไกพร้อมกับงานใช้ความคิด โดยวัดดัชนีการเซในการยืนทรงตัวพร้อมลบเลขถอยหลัง และการทำงานสองชนิดที่ทั้งสองงานเป็นงานกลไก โดยวัดดัชนีการเซในการยืนทรงตัวพร้อมการโยนบีนแบ็ค ความมั่นคงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว และความสมดุลของกล้ามเนื้อ นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (Independent T-test) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม และ Paired T-test ภายในกลุ่ม พบว่าภายหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 6 กลุ่มฝึกพิลาทิสเสริม มีกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่มีความแข็งแรงขึ้น สามารถรักษาสมดุลการทรงตัวได้ดี ความสามารถในการทำงานสองชนิดที่เป็นงานกลไกพร้อมกับงานใช้ความคิดในการลบเลขถูกต้อง และการทำงานสองชนิดที่ทั้งสองงานเป็นงานกลไก ค่าดัชนีการเซในการทรงตัว และผลการโยนบีนแบ็คเข้าเป้าหมาย แตกต่างจากกลุ่มฝึกฟุตซอลปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า การฝึกพิลาทิสเสริมให้กับนักกีฬาฟุตซอลชายระดับมหาวิทยาลัย มีส่วนช่วยเสริมความมั่นคงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ความสามารถรักษาสมดุลการทรงตัว ซึ่งทำให้สามารถลดทรัพยากรความตั้งใจในการทรงตัวไปให้กับงานที่สองได้มากขึ้น ลดการขัดขวางจากงานที่สอง ทำให้ความสามารถในการทำงานสองชนิดพร้อมกันทั้งสองรูปแบบดีขึ้น