Abstract:
ความเป็นมา: โรคคอบิดเกร็งมีลักษณะสำคัญคือกล้ามเนื้อบริเวณคอที่หดเกร็งโดยไม่สามารถควบคุมได้อันเป็นเหตุให้เกิดการเคลื่อนไหวและตำแหน่งของคอและศีรษะที่ผิดปรกติไป ผลกระทบจากโรคคอบิดเกร็งมีทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวซึ่งซับซ้อนและแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้นหากผู้ป่วยสามารถที่จะระบุปัญหาสำคัญและเป้าหมายในการรักษาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับตัวผู้ป่วยแต่ละรายเองได้ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการรักษามากขึ้น
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาแบบประเมินคะแนนการตั้งเป้าความสำเร็จ (goal attainment scale) ของการรักษาโรคคอบิดเกร็ง โดยเปรียบเทียบคะแนนของอาการกลุ่มต่างๆ ก่อนและหลังการรักษาด้วยการฉีดยาโบทูลินั่มท็อกซินในผู้ป่วยโรคคอบิดเกร็ง
รูปแบบการศึกษา: การศึกษาไปข้างหน้าเชิงพรรณนาโดยการสังเกต
วิธีดำเนินการวิจัย: ผู้ป่วยโรคคอบิดเกร็งปฐมภูมิแต่ละรายทำการระบุปัญหาสำคัญหรือเป้าหมายในการรักษาจำนวน 3 ข้อก่อนการฉีดยาโบทูลินั่มท็อกซิน โดยแต่ละปัญหาแบ่งคะแนนความคาดหวังออกเป็น 5 ระดับ จาก -2 ถึง +2 ในการประเมิน โดยคะแนน “0” หมายถึงผลหลังการรักษาพอดีกับที่คาดหวังไว้ คะแนนบวก “+1,+2” หมายถึงผลหลังการรักษาดีกว่าที่คาดหวังไว้ คะแนนลบ “-1,-2” บ่งชี้ถึงผลการรักษาน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ ซึ่งปัญหาสำคัญ 3 ข้อที่แบ่งออกเป็น 5 ระดับคะแนนในแต่ละข้อจะใช้ในการประเมินผู้ป่วยก่อนการรักษาและหลังการรักษา 6 สัปดาห์ ร่วมกับนำคะแนนจากทั้งสามข้อมาคำนวณเป็น T-Score เพื่อสะท้อนถึงภาพรวมของปัญหาหลังทำการรักษา
ผลการทดลอง: ผู้ป่วยโรคคอบิดเกร็งทั้งหมด 22 รายเป็นชาย 8 ราย หญิง 14 ราย ทำการระบุปัญหาสำคัญหรือเป้าหมายในการรักษารวม 66 ข้อ (รายละ 3 ข้อ) ก่อนการรักษาผู้ป่วยทั้งหมดมีคะแนน GAS T-Score น้อยกว่า 50 โดยหลังการรักษา 6 สัปดาห์ พบว่า ร้อยละ 59.09 (13 จาก 22 ราย) ของผู้ป่วยมี GAS T-Score มากกว่า 50 ร้อยละ 27.27 (6 จาก 22 ) ของผู้ป่วยมี GAS T-Score เท่ากับ 50 และร้อยละ 13.64 (3 จาก 22 ราย) ของผู้ป่วยยังคงมี GAS T-Score น้อยกว่า 50 โดยร้อยละของการเปลี่ยนแปลงของ GAS T-Score หลังการรักษาเมื่อเทียบกับก่อนการรักษาเฉลี่ยอยู่ที่ 41.62 [PP1] ปัญหาสำคัญที่รบกวนผู้ป่วยมากที่สุดได้แก่ อาการศีรษะสั่นหรือกระตุกจากภาวะคอบิดเกร็งโดยพบร้อยละ 45.45 รองลงมาคือภาวะขาดความมั่นใจเนื่องจากอาการคอบิดเกร็ง พบร้อยละ 40.90 และปวดคอ พบได้ร้อยละ 36.36 ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าตอบสนองได้ดีหลังการรักษามากที่สุดคือ อาการปวดไหล่โดยพบดีขึ้นร้อยละ 100 รองลงมาคือ อาการศีรษะสั่นหรือกระตุกร้อยละ 90 และภาวะขาดความมั่นใจร้อยละ 88.89 ของจำนวนผู้ป่วยตามลำดับ
สรุป: แบบประเมินคะแนนการตั้งเป้าความสำเร็จมีความสามารถในการระบุปัญหา และปัญหาที่ได้รับการแก้ไขภายหลังการรักษาด้วยการฉีดยาโบทูลินั่มท็อกซินในผู้ป่วยโรคคอบิดเกร็งได้เฉพาะเจาะจงสำหรับตัวผู้ป่วยแต่ละราย และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการรักษาในคลินิกได้ โดยอาการศีรษะสั่นหรือกระตุก กลับเป็นปัญหาสำคัญที่สุดของผู้ป่วยโรคคอบิดเกร็ง