Abstract:
ความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการูแลเด็กของผู้ดูแล ผู้เกี่ยวข้องในการดูแลเด็กควรได้รับการพัฒนาให้สามารถดูแลเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนาหลักสูตรมีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาเครื่องมือวัดความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กของผู้ดูแลเด็ก 2) เพื่อวิจัยและพัฒนาหลักสูตรโดยใช้การมีส่วนร่วมแบบดิจิทัลเพื่อเสริมพลังความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กของผู้ดูแลเด็กในชุมชนและประเมินผลที่เกิดขึ้นจากการทดลองใช้ และ 3) เพื่อจัดทำคู่มือการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้การมีส่วนร่วมแบบดิจิทัลเพื่อเสริมพลังความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กของผู้ดูแลเด็กในชุมชนจากผลการพัฒนาหลักสูตร โดยจำแนกการวิจัยออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก การพัฒนาเครื่องมือวัดความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กของผู้ดูแล โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบของความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็ก และสร้างเครื่องมือวัดความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กจากการบูรณาการ 2 แนวคิด ได้แก่ 1) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และ 2) การเลี้ยงดู ในลักษณะเป็นพหุมิติภายในข้อคำถาม ส่วนที่ 2 กระบวนการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร และส่วนที่ 3 แนวทางการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้การมีส่วนร่วมแบบดิจิทัลเพื่อเสริมพลังความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กของผู้ดูแล ใช้การวิจัยและพัฒนาหลักสูตรร่วมกับการนำแนวคิดการเสริมพลังและแนวคิดการมีส่วนร่วมแบบดิจิทัลเข้ามาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรที่มีความสอดคล้องกับสภาพบริบทของชุมชน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. เครื่องมือวัดความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กของผู้ดูแลที่สร้างขึ้นตามโมเดลการวัดแบบพหุมิติ มี 2 องค์ประกอบหลัก คือ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และการเลี้ยงดู ในแต่ละข้อคำถามถูกออกแบบให้เป็นพหุมิติภายในข้อคำถาม คือ มีคุณภาพทั้งการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยมีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.60-1.00 มีการตรวจสอบความเที่ยงแบบสอดคล้องภายในจากตัวอย่างจำนวน 345 คน มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค อยู่ระหว่าง .820 ถึง .903 และคำนวณค่าสัมประสิทธิ์โอเมกา อยู่ระหว่าง .827 ถึง .905 ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันพหุมิติของโมเดลการวัดความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็ก พบว่าโมเดลการวัดความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ( / (343, N=345) = 446.23, p = .0001, CFI = .979, TLI = .974, SRMR = .051, RMSEA = .030, AIC = 14556.473, BIC = 15140.692) และมีค่าไค-สแควร์สัมพัทธ์ ( / df) เท่ากับ 1.30 ซึ่งมีค่าน้อยกว่า 2 แสดงว่า ยอมรับสมมติฐานหลักที่ว่าโมเดลการวัดมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์
2. ผลการวิเคราะห์ระดับความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กของผู้ดูแล พบว่า ผู้ดูแลเด็กมีระดับความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในส่วนของโมเดลความรอบรู้ด้านสุขภาพและโมเดลการเลี้ยงดู พบว่าผู้ดูแลมีความรอบรู้ด้านสุขภาพและการเลี้ยงดูอยู่ในระดับมากทุกด้าน และพบว่าผู้ดูแลเด็กที่มีเพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานเป็นผู้ดูแลเด็ก ภูมิภาคที่ปฏิบัติงาน และมีประวัติการเข้ารับการพัฒนาทักษะความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในการดูแลเด็กแตกต่างกันจะมีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. กระบวนการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร จำแนกออกเป็นวงจรการวิจัย 2 วงจร ประกอบด้วย วงจรการวิจัยที่ 1 การออกแบบกลยุทธ์การสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง และวงจรการวิจัยที่ 2 การพัฒนาหลักสูตรโดยใช้การมีส่วนร่วมแบบดิจิทัลเพื่อเสริมพลังความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพ ในแต่ละวงจรมี 2 ระยะ คือ ระยะการวิจัย (R) และระยะการพัฒนา (D) โดยผสมผสานระหว่างการจัดกิจกรรม ณ สถานที่ตั้งและการจัดกิจกรรมทางออนไลน์โดยใช้เครื่องมือทางดิจิทัลที่หลากหลาย
4. ผลที่เกิดขึ้นในกระบวนการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร พบว่า ทีมนักวิจัยชุมชนมีทักษะการพัฒนาหลักสูตรและความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพเด็กสูงขึ้นกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรม และในการนำสู่การปฏิบัติ ผู้ดูแลเด็กที่เข้าร่วมอบรมภายหลังการเข้าร่วมอบรมตามหลักสูตรมีความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพเด็กสูงกว่าก่อนเข้าร่วมอบรม
5. แนวทางการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้การมีส่วนร่วมแบบดิจิทัลเพื่อเสริมพลังความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กของผู้ดูแลมี 3 หลักการ ได้แก่ หลักการออกแบบกระบวนการพัฒนาหลักสูตรทั่วไป หลักการออกแบบกระบวนการพัฒนาหลักสูตรเฉพาะด้านการดูแลสุขภาพเด็ก และหลักการออกแบบหลักสูตรและการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ และได้คู่มือ 2 ชุด ประกอบด้วย คู่มือกระบวนการพัฒนาหลักสูตรฯ และคู่มือหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมพลังความรอบรู้ด้านการดูแลสุขภาพเด็กสำหรับครูปฐมวัย