Abstract:
การวิจัยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาอัตลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ และความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และ (2) เพื่อเปรียบเทียบอัตลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ และความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์แบบชัดแจ้งร่วมกับการสะท้อนคิด กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนไทยจากโรงเรียนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดลำพูน ปีการศึกษา 2564 การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยแบบผสมวิธี ซึ่งแบ่งการศึกษาเป็น 2 ระยะ โดยการศึกษาระยะที่ 1 มีรูปแบบการวิจัยแบบวิจัยเชิงสำรวจ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดย (1) แบบวัดอัตลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ และ (2) แบบวัดความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ แบบปรนัย และการศึกษาระยะที่ 2 มีรูปแบบการวิจัยแบบวิจัยเชิงทดลองแบบการทดลองเบื้องต้น เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้เครื่องมือ ดังเช่นการศึกษาระยะที่ 1 และเพิ่มเติมแบบวัดความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ แบบอัตนัย มีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ยร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน One-sample t-test และ Dependent sample t-test โดยใช้นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เพื่อเข้าใจรายละเอียดของอัตลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ และความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของนักเรียน สรุปผลการศึกษาระยะที่ 1 ดังนี้ (1) กลุ่มเป้าหมายโดยเฉลี่ยแล้วมีระดับอัตลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยภายในองค์ประกอบของอัตลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ จะเห็นว่านักเรียนมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ (ATS 1) และค่านิยมทางวิทยาศาสตร์ (ATS 2) ที่มีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยรวม และยังเป็นผู้ต้องการมีประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ (OSLE 2) สูงขึ้น (2) กลุ่มเป้าหมายโดยเฉลี่ยแล้วมีระดับความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเป็นผู้ที่มีความเข้าใจขอบข่าย NOS 3 กิจการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีแนวโน้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับขอบข่ายอื่น และสรุปผลการศึกษาระยะที่ 2 ดังนี้ (1) ระดับอัตลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์หลังการได้รับการจัดการเรียนรู้มีระดับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์หลังการได้รับการจัดการเรียนรู้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05