Abstract:
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านแรงจูงใจในการบริหารกับการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ ทั้งนี้การรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์จำแนกเป็นโอกาสในการรับรู้การด้อยค่า และขนาดในการรับรู้การด้วยค่าโดยแยกศึกษากับสินทรัพย์ 3 ประเภท ได้แก่ สินทรัพย์รวม สินทรัพย์ที่มีตัวตนและเงินลงทุน สำหรับปัจจัยด้านแรงจูงใจในการบริหารประกอบด้วย ความสามารถในการทำกำไรที่วัดจากอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม ความเสี่ยงทางการเงินที่วัดจากอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวม การเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงซึ่งประกอบด้วย การเปลี่ยนประธานกรรมการ และการเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการ โดยกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้คือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2542-2546 ยกเว้น บริษัทในกลุ่มสถาบันการเงินและบริษัทที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ ผลการศึกษา ณ ระดับความเชื่อมั่นที่ 95%พบว่าอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม กับโอกาสในการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์รวมและสินทรัพย์ที่มีตัวตน และมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับขนาดในการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ เฉพาะที่เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวม มีความสัมพันธ์ในทศทางเดียวกันกับโอกาสในการรับรู้การด้อยค่า ของสินทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์รวมและสินทรัพย์ที่มีตัวตน แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับขนาดในการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ทั้ง 3 ประเภท การเปลี่ยนประธานกรรมการไม่มีความสัมพันธ์กับโอกาสในการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ทั้ง 3 ประเภท แต่มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับขนาดในการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ เฉพาะที่เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน และการเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน กับโอกาสในการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์รวมและเงินลงทุน และมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับขนาดในการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ ที่เป็นสินทรัพย์รวมและเงินลงทุน ผลการศึกษาในส่วนใหญ่สอดคล้องกับผลการศึกษาในอดีต ยกเว้นปัจจัยที่เป็นอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวม กล่าวคืออัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์รวม มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับการรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ แต่ผลการศึกษานี้พบว่ามีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน